แดนดีถิ่นหอยเชลล์และทุกสิ่งทุกอย่างทำจากแอปเปิ้ลได้ ชิวกำลังพูดถึงเมือง Aomori เมืองตัว A ที่ควรเปลี่ยนชื่อเป็นเมือง Apple ได้แล้ว เพราะแอปเปิ้ลนางเด็ดจริงจัง!
จากเมือง Hakodate ชิวใช้ JR East-South Hokkaido Rail Pass พาสที่ขึ้นรถไฟ JR ได้แบบไม่อั้นชิงคังเซ็นอะไรก็ใช้ได้ ระยะเวลาพาส 6 วัน ราคา 27,000 เยน นั่งรถไฟชิงคังเซ็นมายังเมือง Aomori เมืองนี้อยู่เกาะเดียวกับโตเกียว แต่จะตั้งอยู่ขวาบนของเกาะเป็นเมืองติดทะเล เมืองนี้ดูเงียบแต่เก๋นะ เหมือนมีอะไรน่าค้นหา ชิวเริ่มเห็นความเป็นเมืองมากขึ้น เจริญมากขึ้น (ถ้าเทียบกับ Hakodate) มองเห็นห้าง มองเห็นสัญลักษณ์มาสคอตของเมืองตั้งแต่หน้าสถานี
ถึงประมาณเที่ยง เราไปตามเป้าหมายที่เค้าว่ากันว่าต้องห้ามพลาดเลยคือ “ตลาดปลา” ตลาดปลานี้มีกิมมิคเว้ย คือเราสามารถทานข้าวหน้าอาหารทะเลสดๆได้ เลือกหน้าได้ด้วยตัวเองในราคาไม่แพง เริ่มจากไปซื้อคูปองก่อน 1300 เยนจะได้สแตมป์มา 10 ดวงจากนั้นก็ลุยเลยจ้า เดินไปตามร้านนะ อยากได้อะไรมาโป๊ะบนหน้าข้าวกลางวันเลือกได้เลย พวกเธอคงกำลั งง ใช่ไหมว่าแล้วคิดราคายังไง? คืองี้แต่ละร้านเค้าจะมีราคาแปะไว้ เช่น แซลม่อน 2 ชิ้นแสตมป์ 1 ดวง หรือหอยนางรมตัวเบิ้ลก็ตัวละ 2 ดวงงี้ เลือกไปจ้ะจนแสตปม์ที่ซื้อมาหมด (ถ้ายังไม่ฟินจะซื้อเพิ่มก็ไม่ว่ากันเด้อ)
นี่ๆแสตมป์แบบเนี้ยมีสิบดวง
และนี่คือเซ็ตของชิว จานนี้ใช้ไปทั้งหมด 12 ดวง (ซื้อเพิ่มมาอีก 2 ดวงเพื่อหอยตัวเบิ้ม 555) อร่อยมากสดมาก คือดีต่อใจต่อพุงเหลือเกิน เออลืมบอกเห็นกระป๋องฟ้าในภาพป่ะ มันคือน้ำแอปเปิ้ลนะเค้าจะแถมมาให้ในเซ็ตเมื่อเราซื้อเซ็ตคูปอง 10 ดวง (แบบ 5 ดวงไม่ได้แถมน้ำนะ )
เติมพลังฟิตปึ๋งปั๋งแล้วไปดู Museum กัน คืองี้แกที่เมือง Aomori เนี้ยทุก 2-7 สิงหาคม ของทุกปีเค้ามีเทศกาลเนบุตะ (Nebuta Matsuri) เป็นคานิวัลใหญ่แห่โคมไฟยักษ์ สวยงามและดังมากๆคนทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลกก็จะเฝ้ารอมาร่วมเทศกาลนี้กันเลยนะ อลังการเวอร์วังมาก และพอจบงานเค้าก็จะเอาโคมไฟสวยๆที่ประกวดติดอันดับต้นๆมาเก็บไว้ใน Museum ให้คนอื่นๆได้มาเชยชมกัน
เราโชคดีมากไปทันเวลาร่วมกิจกรรมพอดี ทุกๆชั่วโมงเค้าจะมีกิจกรรมเล็กๆให้ผู้เข้าชมมาร่วมสนุกกัน ก็จะแบบตีกลอง ตีฉิ่ง ตีฉาบให้เข้ากับจังหว่ะ สนุกดี เพลินมาก ตอนแรกก็เกร็งไง ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะตีกลองเข้าจังหว่ะกะเค้าได้ แต่เค้าก็ช่วยไกด์ให้จนได้นะ 555
ป่ะไปต่อที่ Museum ที่มีขายของฝากและของดีเมืองนี้ชื่อ A-Factory โดยชื่อมันก็มาจาก A – Apple และ Aomori เออเห็นป่ะว่าเมืองนี้เค้าแอปเปิ้ลจริงจังแค่ไหน และพอเข้าไปเธอก็คงไม่แปลกใจเหมือนเราแน่ๆ ว่าทุกสิ่งอย่างกว่า 99% จะเป็นแอปเปิ้ล!! น้ำแอปเปิ้ลเป็นห้าสิบแบบ เหล้าแอปเปิ้ล พายแอปเปิ้ลมากมายก่ายกอง แต่ชิวลองชิมมาบางอย่าง เราก็ว่าอร่อยนะ มันหอมนุ่มกว่าแอปเปิ้ลที่อื่นจริงๆ
และสาวกไอติมเราก็มองไปเห็น ซอร์ฟครีมรส apple cider วั่ยตายล้าว แกต้องเข้ามาอยู่ในท้องช้านเดียวนี้ เดินไปสั่งเลยจ้ะมาชิม รสชาติดีเลยนะเอาจริง ตอนแรกชิมจะรู้สึกแปลกๆแม่งๆหน่อย แต่พอกินไปสักสองสามคำแล้วอร่อยเลย ชิวให้ผ่าน
นี่ไง กองทัพน้ำแอปเปิ้ลหลากหลายแบบ เยอะสิ่งอันมากกกก
โดยพอตกเสร็จเค้าก็จะเอาไปทำมาให้ 2 แบบ แบบต้มและแบบกินสดซาซิมิ คือมันอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกก หมดความหงุดหงิดที่ตกไม่ได้ตากี้ไปหมดสิ้น เนื้อหวานมากกกกกกกกกกกกกกกก เต็มปากเต็มคำที่สุด โอ้ยพิมพ์ไปน้ำลายสอไป
หมายเหตุ : หอยเชลล์ที่คนไทยเรียกมันคือ Scallop นะจ้ะ ขอเขียนหอยเขลล์แบบไทยๆคนอ่านจะได้เข้าใจง่ายเน้อะ
กิน กิน กิน และ กิน ผ่านไปหลายร้านเราก็ไปเที่ยวชมวิวกันมั่ง เดินย่อยกันนิดหนึ่งไปที่ Aomori Prefecture Tourist Center (ASPM) จุดชมวิวพาโนราม่าของเมือง เดินสักประมาณ 10 นาทีพอให้เบรินไขมันย้วยๆในท้องออกไป พอเธอมาถึงก็กดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 13 เลย พอเปิดมาจะเจอวิวดีต่อใจมากมายบนนี้ มองได้รอบเมืองเลย ยังไงลองดูดูภาพเน้อะ
นั่นสะพานพระราม 8 ถุ้ย!ไม่ใช่มันแค่คล้าย สะพานที่เห็นชัดตั้งแต่สถานี ลองมาดูที่ตึกนี้นะสวยมาก
เรากินอาหารเย็นเราไปกินกันที่ร้าน อาหารเย็น Nebutanokunitakakyu ร้านนี้คืออร่อยดีและมีแสดงแบบญี่ปุ่นโบราณให้ดูนิดหน่อยพอขำขำ อิ่มแปร่แล้วนั่งแท็กซี่กลับมาใกล้สถานีและเข้าพักที่ Business hotel กลางเมืองชื่อ Hotel Sunroute Aomori ห้องก็เล็กๆหน่อยตามประสาโรงแรมญี่ปุ่นเน้อะ แต่นอนสบาย
เช้าวันที่สองใน Aomori วันนี้เราออกแต่เช้าไปนอกเมืองจะไปสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของ Aomori กันระหว่างทางไปจะเจอจุดแวะพักทางชื่อ Namioka Apple Hill Rest Area เรามาทำกิจกรรมง่ายๆคูลๆกันก็คือ เวิร์คช็อปย้อมคราม ใช้เวลาไม่นานแค่ 15 นาทีก็เสร็จแล้ว จะได้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองลายตัวเอง ไม่คิดว่าจะทำง่ายขนาดนี้ มันทำง่ายมากจริงๆคนไม่มีฝีมือใดๆแบบเรายังทำได้ เราเชื่อว่าเธอทำได้แน่ๆ
นี่ฝีมือเราเอง ที่อวดเพราะทำมั่วๆออกมาแล้วสวยจ้า 555
ได้ผ้าโซ้ยไอติมและไปต่อจ้ะปลายทาง Tsuta Onsen Ryokan ถ้านั่งรถบัส JR จากหน้าสถานีจะมาลงที่ป้ายนี้นะ ทางรีสอร์ทใจดีพาเราเดินสำรวจและทานข้าวกันที่นี่ ดีงามน่าพักมากเลย แต่มันฮิตจองยากนิดหนึ่งเลยไม่ได้พักที่นี่ แค่แวะมากินข้าวกลางวันเฉยๆ
ต่อรถไปยังทะเลสาบ Towada ล่องเรือชมความอลังการของทะเลสาบที่ยิ่งใหญ่ เค้าว่ากันว่าตอนใบไม้เปลี่ยนสีเมือง Aomori คือพีคมากกกกกกกกกกกก แต่เราไม่ได้มาตรงเวลาก็ยังสวยนะ (หลับตาจินตนาการไปก๊อนนน เธอๆนั่นไงต้นไม้แดง 555 )
ล่องเรือเสร็จจะมาโผล่อีกด้านของทะเลสาบต่อรถแล้วเริ่มเที่ยวตามแนวแม่น้ำ Oirase เส้นนี้เป็นเส้นทางเดิน trail เลาะลำธาร ระหว่างทางก็จะเจอน้ำตกมากมาย ถ้าชิวจำไม่ผิดน่าจะมีประมาณ 7 น้ำตกเลยนะ สวยน้ำใสเพลินดีต่อใจต่อปอดมากมาย ลองดูรูปแล้วกันนะ เราจำชื่อน้ำตกแต่ละอันไม่ได้มันเป็นชื่อญี่ปุ่นอะ
เดินเรื่อยๆจนครบไฮไลต์ก็น่าจะสัก 3 ชั่วโมงก็ไปต่อที่ออนเซ็นกลางป่ากันจ้ะ ชื่อ HOTEL Jogakura เป็นโรงแรมสไตล์เรียวกัง มีออนเซ็นดีๆงามๆให้แช่ ห้องพักและอาหารเย็นก็ดีเหลือเกินนนน
แช่ออนเซ็นให้สบายตัว หลับยาว ตื่นเช้ามาโซ้ยต่อ มา Aomori ที่ต้องลองเลยคือ แกงกะหรี่แอปเปิ้ล เราไม่ได้รสแอปเปิ้ลในเกงกะหรี่นะ แต่มันกลมกล่อมมากขึ้น มีความหวานจากแอปเปิ้ลเพิ่มขึ้นมา คืออร่อยมากกกกกกกกกก อร่อยแบบไม่น่าเชื่อว่าจะเข้ากันขนาดนี้
บริการรถจากที่พักไปส่งสถานี รถพาไปต่อที่ Aomori Museum of Art เป็นอาร์ตมิวเซียมที่เหมาะมากสำหรับการถ่าย Portrait ด้วยธีมขาวครีมคลีนๆ ได้แสงดีๆคือชิคมาก แต่ข้อเสียเลยคือเค้าห้ามถ่ายภายในแหละเราเลยไม่มีภาพมาให้ชม >.< มีแต่ภาพถ่ายแฟชั่นด้านนอก 555
ใกล้ๆกันกับ Museum of Art ห่างห้านาที จะมีเหมือนศูนย์ประวัติศาสตร์โบราณของเมือง ชื่อ Sannai-Maruyama site ประมาณขุดพบอารยธรรมโบราณแนวๆบ้านเชียงบ้านเรางี้ ถ้ามีเวลาก็ลองแวะไปเดินเล่นถ่ายรูปได้มีฟิลล์คล้ายหมู่บ้านฮอปบิตนิดๆด้วยนะ
ได้เวลาอำลาเมืองแห่งแอปเปิ้ลและหอยเชลล์ที่ดีต่อใจต่อพุงต่อตับไตเราเหลือเกิน เรามีนัดกับรถไฟชิงคังเซ็นอีกแล้ว ชิวใช้ JR มุ่งหน้าสู่เมืองสุดท้ายของทริปที่เมือง Sendai สำหรับ Aomori ไว้เราจะกลับมาใหม่แน่นอน ขอบคุณ Aomori ด้วยนะที่สร้างความทรงจำดีๆให้
อ่าน Blog ถัดไป >> 7 สิ่งไม่ควรพลาดเมื่อได้มาเยือน Sendai