รีวิวการไปเที่ยวทัวร์เกาหลี

 

.       วันนี้ผมจะมารีวิวการไปเที่ยวทัวร์เกาหลีว่าทำไมถึงถูกจัง และ คุ้มค่าหรือเปล่า ไปเองหรือไปทัวร์ดี หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์ต่อคนที่กำลังสนใจไปเกาหลีนะครับ

.      ผมไปเกาหลี(เกาะเชจู) กับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง เราไปเกาหลีด้วย Package มาตรฐาน “เกาะเชจู ซองซาน อิลซูบง HELLO KITTY ISLAND 4 วัน 2 คืน (ZE)”  ในราคาหมื่นต้นๆที่ราคาสูงเพราะเป็นไปช่วง High season (พย.) และเราไปกันเยอะ ถ้าทั่วๆไปเคยเห็นโฆษณากันอยู่ที่ 9,999 บาทด้วยซ้ำ เอ๊ะราคานี้ มันถูกหรือแพง? เพราะขนาดไปกับทัวร์ยังราคานี้ ถ้าไปเองสงสัย 5-6000 บาทก็เที่ยวได้เลยมั้งเนี้ย

.       เดี๊ยวววววอย่าเพิ่งคิดงั้น เราลองมาดูตั๋วเครื่องบินไปกลับ ที่ถูกที่สุดจากกรุงเทพไปยังเกาสวรรค์ของคนเกาหลี เกาเชจู ( Jeju Island )
ขอเลือกใช้บริการเว็บค้นหาตั๋วถูกจากทุก Agent ดูซิว่าราคาถูกสุดๆราคาเท่าไหร่?

.       ค่าตั๋วถูกสุดอยู่ที่ 14,576 ! บาท ห๊ะ!! แค่ค่าตั๋วก็เกินค่าทัวร์ไปหลายขุม อ้าวแล้วทัวร์เค้ากันราคาหมื่นต้นๆกันได้อย่างไร วันนี้จะขอรีวิวแบบตรงไปตรงมา บวกความเห็นส่วนตัวกับการเที่ยวทัวร์เกาหลี เพื่อเป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจว่าคุ้มค่าหรือไม่? ไปแล้วจะโดนอะไรเนียนๆบ้าง?
[su_spoiler title=”ถ้าใครไม่ต้องการชมรีวิวแต่อยากทราบข้อสรุปอ่านได้ตรงนี้เลยครับ”]1.     50% ของโปรแกรมเที่ยวคุณจะอยู่ที่ร้านขายของ คุณจะได้เที่ยวจริงๆประมาณ 1 วันครึ่ง เพราะอีก 1 วันครึ่งจะต้องเข้าร้าน 2.     ทัวร์ให้เวลากับร้านค้าพวกนั้นนาน แต่จำกัดเวลาในแต่ละที่เที่ยวเพราะร้านทุกร้าน “ต้องเข้า” 3.     การทดลองในร้านขายสมุนไพร (ผมคิดว่า)เป็นเพียงทริคมายากล ที่ทำให้น่าเชื่อถือเท่านั้น (ทุกร้านห้ามถ่ายรูปและวิดีโอ) 4.     ราคาสมุนไพร เช่น โสม น้ำมันสน ทำเอาหมดเนื้อหมดตัวได้เพราะราคา “แพงมาก” หลักหมื่นอัพ 5.     ร้านละลายเงินวอน ขายเต็มราคาเทียบเท่าร้านสะดวกซื้อเป็นร้านสำหรับขายทัวร์โดยเฉพาะ 6.     หนุ่มที่เป็นผู้ช่วยไกด์ และ ถ่ายรูปให้คุณ เค้าหวังจะขายรูปให้คุณเมื่อจบทริป 7.     ทิปไกด์และคนขับจะไม่รวมในราคาทัวร์แต่ทุกคนต้องจ่าย 8.     ทุกร้านที่พาไปไม่บังคับให้ซื้อ แต่ต้องเข้า 9. คิดว่าทัวร์ซื้อจากเจ้าไหนก็ได้ที่เชื่อใจได้ เพราะเค้าเอาไปส่งต่อทัวร์เกาหลีอีกที ( คงไม่ทุกเจ้า แต่ที่โปรแกรมเหมือนกันคิดว่าส่งต่อหมด ) 10.     สำหรับผมคิดว่า “คุ้มค่า” ถ้าไม่คิดอะไรไปเถอะครับราคางี้ไปเองค่าตั๋วยังไม่ได้เลย[/su_spoiler]

วันที่ 1 : สุวรรณภูมิ – เกาะเชจู

.       วันแรกของการเดินทาง หลังจากเลิกงานวันพฤหัสก็รีบบึ่งกลับบ้านทันที คืนนี้เราจะได้ขึ้นเครื่องบิน แม้จะขึ้นเครื่องบินมาหลายรอบแต่การขึ้นเครื่องบินทุกครั้งก็ตื่นเต้นทุกครั้ง ตามโปรแกรมทัวร์จะต้องไปนัดเจอเจ้าหน้าที่ตอนประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ด้วยความตื่นเต้นไปถึงมันตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่ง พอมาเจอเจ้าที่ของบริษัททัวร์ก็ได้เรื่อง สายการบินแจ้งว่ามีการ Delay จาก flight ที่บินตี2 จะขยับไปอีก 1 ชม.เป็นตี 3  ห๊ะอะไรนะ !  นับจากที่มาถึงไวถึงเวลาเครื่องขึ้น ก็ 4 ชั่วโมงครึ่ง ทำไรดีวะตู

.       สายการบิน low cost ที่ทำ charter flight บินไปเกาะเชจูมีหลายเจ้าแต่ที่เราได้คือ Easter Jet รีวิวสายการบินนี้เล็กน้อยเผื่อโปรแกรมใครเป็น Easter Jet สายการบินนี้โหลดกระเป๋าได้ฟรีคนละ 20 กิโลกรัม ไม่มีอาหารแบบร้อน(Hot meal)เสริฟบนเครื่อง
มีน้ำดื่มและน้ำส้มบริการบนเครื่องบิน ตอนเกือบเช้าจะมี Snack box ให้กล่องหนึ่งพอรองท้องได้ ที่นั่งคับแคบตามประสา Low cost ถ้าให้เทียบก็น่าจะใกล้เคียง AirAsia เอนเบาะได้เล็กน้อยพอนั่งไม่สบาย  โดยรวมก็ถือว่าให้ผ่าน ในระดับ low cost airline

จบวันที่ 1 แค่ไปขึ้นเครื่องแล้วก็นับเป็น 1 วันแล้วนะ .. รู้ยังวันที่ 2 : เกาะเชจู

.       หลับไปงีบหนึ่งตื่นมาเกือบเช้าของวันศุกร์ที่ไม่ต้องทำงาน ลองเปิดหน้าต่างเครื่องบินดูก็พบว่าเราอยู่เหนือเมฆสีขาว แสงจ้าจนต้องปิดหน้าต่างลง และได้รู้ว่าใกล้ถึงเกาหลีเข้ามาทุกที สภาพร่างกายยังไม่พร้อมเท่าไหรจากการอดนอนในคืนที่ผ่านมา  ร่างกายเริ่มงอแงจึงงีบอีกหน่อย

.       10 โมงเช้าเวลาเกาหลีเราก็มาถึงสนามบิน เชจู ประเทศเกาหลีใต้ พอเครื่องจอดก็ถือโอกาสแชะภาพเล็กน้อย พร้อมเปิด Wifi ตามหาสัญญาณเผื่อได้ check-in ป่าวประกาศให้เพื่อนอิจฉาเล่นว่าตอนนี้อยู่เกาหลี แต่ความพยายามไม่เป็นผลเพราะสัญญาณ Free wifi ที่สนามบินเชจูห่วยมากถึงขั้นต่อไม่ติด   คณะเราเดินไปต่อแถวเพื่อตรวจคนเข้าเมือง แถวยาวเหยียดในใจแอบระทึกเล็กน้อยเพราะอ่านมาว่าคนไทยถูกปฏิเสธเข้าประเทศแบบไม่ต้องถามหาเหตุผลมาหลายคนแล้ว ไอ้เรานี่มากับทัวร์แบบมึนๆถ้าตม.ถามข้อมูลอะไรก็คงตอบไม่ได้แน่นอน แต่มองในแง่ดีว่าใน Passport มีปั้มเข้าออกหลายประเทศคงเป็นสิ่งทียืนยันได้ดี ว่าคงไม่มาโดดประเทศคุณพี่หลอกครับ

.       เจอหน้าตม. พูด Good morning ทักทายให้เค้าเพื่อเพิ่มความสนิทสนม   ตม.ตรวจเล็กน้อยก็ปั้มเข้าประเทศให้  วินาทีนั้นคิดในใจ ‘ เย้!ได้สัมผัสอีกหนึ่งประเทศแล้วหล่ะ นี่มันประเทศที่ 17 ของเราแล้วนะ ’ ( ความคิดตอนนั้น…กลับมานับอีกทีตอนนี้ได้ 16 ประเทศ ตึ่ง!)

เกร็ดความรู้ : ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่ไม่ต้องขอ Visa ขอเพียงเป็นคนไทยมี Passport ไทยก็เข้าได้เลย แต่ต้องเตรียมหลักฐานที่แสดงได้ว่ามาเที่ยวและจะกลับตามกำหนดไม่หนีทำงานในประเทศเค้า ตม.เกาหลีมีสิทธิ์ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศเช่นกันถ้าเค้าไม่เชื่อถือเราพอ

และเผื่อใครจะมาเอง เกาะเชจูไม่มีรถใต้ดิน แต่มีรถบัสประจำทางครับ

มื้อแรกของเกาหลี : ข้าวยำบีบิมบับ (Bibimbap+Soup)

ข้าวยำเกาหลี ถือเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมากเพราะประกอบไปด้วยเครื่องปรุงที่เป็นผักนานาชนิดถึง 18 อย่าง อุดมไปด้วยวิตามินหลากหลายชนิดโดยนำข้าวไปย่างบนชามหิน แล้วโรยผักต่างๆ อาทิ แครอท เห็ด หัวไชเท้า แตงกวา มันฝรั่งผัดผักกาดขาวพร้อมไข่ดิบ ราดน้ำซอส แล้วนำมายำรวมกันในขณะที่ถ้วยยังร้อนๆ

อ่านตามคำชวนเชื่อแล้วถึงกับอึ้ง!   พอลองชิมก็รสชาติคล้ายกับที่กินที่ไทย เป็นคนไม่ชอบกินข้าวยำและกิมจิ คนอื่นว่าอร่อยแต่สำหรับผมเฉยๆ ส่วนน้ำซุปอร่อยมากซดซะเกลี้ยงเลย

น้ำซุปที่ใส่สาลี่ไส้โสม อร่อยครับ

 

พอหนังท้องตึงเราขึ้นรถบัส ยังไม่ทันจะหนังตาหย่อนก็ถึง HELLO KITTY ISLAND JEJU ที่จัดการแสดงเรื่องราว Hello Kitty หรือพูดง่ายๆว่า ทั้งตึกนั้นเป็น “คิตตี้” สรรค์ของสาวๆเค้าหล่ะ ไอ้เราเข้าตึกไปแล้วทำไรดีหล่ะ… ถ่ายรูปมาฝากแล้วกัน แต่กลับมาดูรูปนี่คือถ่ายมาแทบจะครบทุกมุมเลย ไม่ได้ชอบเลยจริงๆนะ

เอาหล่ะได้บัตรเข้าชมแล้วไปกันครับ

ตึกนี้น่าจะมีทั้งหมด 3 ชั้น
ชั้น 1  เป็นโซนตุ๊กตาคิตตี้และผองเพื่อนทั้งหมด
ชั้น 2   มี Kitty Café และห้องนอนคิตตี้
ชั้น 3   มีห้องชมภาพยนตร์ และดาดฟ้า

เริ่มจากชั้นแรกสุดก่อนเลย น่ารักมุ้งมิ้งสุดๆ

คอมโบคิตตี้ชั้น 1 เอาให้มึนคิตตี้กันไปเลย

 

ต่อด้วยชั้น 2 กันครับ ชั้นนี้จะมี Kitty Café เป็นร้านขนม น่ารักมากๆ

ทุกสิ่งคือ คิตตี้ แม้กระทั่งเก้าอี้

สั่งขนมตรงนี้เลย

บรรยากาศในร้านครับ

ต่อด้วยห้องนอนคิตตี้ เชื่อว่าสาวๆหลายคน ตอนเด็กๆคงฝันอยากมีห้องนอนแบบนี้ใช่ไหมหล่ะ

เดินผ่าน มุมเด็กเล่น และผองเพื่อน คิตตี้

ลูกสาวใครเอ่ย น่ารักจัง

ต่อด้วยชั้น 3   จะมีห้องชมภาพยนตร์ 3 มิติ และดาดฟ้า

ก่อนกลับก็มีร้านที่ระทึก ให้เสียเงินกันแบบเพลินๆ

ต่อจากคิตตี้เราก็ไป ไร่ชา O’Sulloc  ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นไร่ชาที่ดังสุดในเกาหลี ชาชั้นดีถูกปลูกที่เกาะเชจูนี่เอง สำหรับผมขอ comment ตรงๆว่าดอยแม่สลองบ้านเราที่ผมไปมาสวยกว่ามากกกก แต่บรรยากาศไร่ชาเค้าก็สวยดี และเกาหลีเป็นประเทศอากาศเย็น อากาศตอนเที่ยงก็ประมาณ 25 องศา เดินเพลินๆถ่ายรูปเพลินๆ

แต่ที่เด็ดของไร่ชานี้ที่พลาดไม่ได้คือ  ไอติมและครีมโรลชาเขียว

ตัวไอติมชาเขียวเข้มข้นกว่าและไม่หวานแบบไอติมบ้านเรา ส่วนครีมโรล์เนื้อนอกนุ่มเด้งมีรสชาเขียวจริงๆไม่เพียงแค่กลิ่นและครีมที่อยู่ตรงกลางไม่เลี่ยนเลยครับ เป็นเนื้อครีมอย่างดี   สรุปเลยว่าอร่อยมากถ้ามีโอกาสไปต้องไม่พลาด จำราคาไม่ได้แม่นแต่ราคาก็แรงไม่น้อย ไอติมน่าจะอยู่ที่ประมาณถ้วยละ 100 บาทและครีมโรลชิ้นละ 150 บาทแต่ไปทั้งทีอย่าเสียดายเลยทานเถอะครับ

ภายในอาคารก็จะมีขายชาเขียวแปรรูปในลักษณะต่างๆทั้งชาอบแห้ง ชาผสมขิง ทำนองนี้ครับมีให้ชิมชาฟรีๆกันด้วย สาวกของฟรีก็จัดไปครับ

และถ้าอยากรับลมให้เดินมาชั้นลอยของอาคาร จะมีจุดชมวิว สามารถเดินมารับลมหนาวกันได้ วิวก็สวยดีอีกด้วยครับ

ต่อจากไร่ชาเราก็ต่อไปที่ วัดซันบังซา(Sanbangsa Temple) วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาซันบัง ไกด์บอกว่าเป็นที่ๆฮวงจุ้ยดีที่สุดในเกาะเชจู อันนี้ผมเดาจากหน้าวัดเป็นทะเล และ ด้านหลังก็เป็นเขา ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยที่เราคุ้นเคยกันละมั้ง

พอมารถจอดผมก็เห็นแสงเทพ (แสงที่เป็นลำแสงลอดจากเมฆ) ใจเต้นระริก จิตวิญญาณช่างภาพมาเต็มเปี่ยม ถามไกด์ว่านัดเจอกี่โมงครับ พอทราบเวลานัดแนะแล้ว ผมก็รีบวิ่งขึ้นเขาเพื่อไปถ่ายภาพแสงเทพ

.      ทางเดินขึ้นเขาสูงไม่น้อย  ผมเดินไปพักไป  แม้ทางเดินจะเป็นขั้นบันไดปูนอย่างดี แต่ด้วยความชันก็ทำให้เหนื่อยไม่น้อย …  เมื่อเดินถึงด้านบนก็จะพบพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง และคนพบกับเหล่าผู้พิชิตที่เดินกันขึ้นมาถึงจนได้  ผมไหว้พระ และ ถ่ายภาพแสงเทพจากมุมสูงได้สมใจ  มองนาฬิกาใกล้ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว

แสงเทพที่รอคอย

 

.       ขาลงเดินสบาย เพียงทิ้งน้ำหนักตัวไหลไปตามแรงโน้มถ่วงโลกเท่านั้นเอง  วิวระหว่างทางก็สวยไม่น้อย

พอลงมาถึงก็ไหว้พระองค์ที่คนอื่นๆเค้ามาไหว้กัน

 

ระฆังจะมีรอบองค์พระเลยครับ ถ้าผมจำไม่ผิดการหมุนระฆังเสมือนการทำบุญ ประมาณนี้ถ้าผิดช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ

.      เสร็จจากวัด ก็เดินทางสู่ ภูเขา SONG AK เป็นภูเขาที่สวยงามและยังเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่องแดจังกึม

อืม… คุ้นๆแฮะแดจังกึมเหมือนเคยดู  แต่ไม่ได้แฟนพันธ์แท้ขนาดจำฉากนี้ได้อะนะ เรามาถึงก็เย็นแล้วฟ้ากำลังเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม สัญชาตญาณคนชอบถ่ายภาพมาอีกแล้วเห็นแสง Twilight ไม่ได้ มือไม้สั่นครับ
( ถ้าจำกระทู้ญี่ปุ่นได้ผมเกือบต้องเดินกลับที่พัก 3 กิโล เพราะมัวแต่รอถ่าย ภูเขาไฟฟูจิ กับแสง Twilight มาแล้ว )

พอ    ไกด์แนะนำสถานที่เสร็จผมถามเวลาเช่นเคย คนอื่นเค้าไป Starback , ไปกินอาหารทะเลสดๆจากอาจูม่า กันแต่ผมเลือกที่จะเดินตามแสงพระอาทิตย์ขึ้นเขาเล็กๆทางขวาไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกคนเดียว    นี่สิการท่องเที่ยวที่เราคุ้นเคยชมพระอาทิตย์ขึ้น/ตก เป็นอะไรที่ชอบมาก

.       มืดแล้วแต่โปรแกรมของวันนี้ยังไม่หมด  เราไปต่อที่ น้ำตกซอนเจยอน :  น้ำตกที่ไหลลงจากหน้าผาหินรูปต่างๆ ทำให้เกิดเสียงราวกับฟ้าคะนอง สายน้ำตกไหลลงสู่แอ่งน้ำรวมกับแสงสะท้อนเปรียบได้กับการรวมทั้งผืนฟ้าและพื้นดินเข้าด้วยกัน  หืมมมมม อะไรจะขนาดน้าน

.       การท่องเที่ยวเกาหลีนี้เค้าทำได้ดีมากๆ นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวน้ำตกได้แม้จะมืดแล้ว เพราะทางเดินเข้าไปที่น้ำตกก็เป็นปูนทั้งหมด เดินไม่ต้องกลัวสะดุดรากไม้ และยังติดไฟที่น้ำตก    อืม…. ส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ดี แต่น้ำตกเกาหลีเทียบไทยไม่ติดฝุ่นเลยหล่ะ ของไทยสวยกว่าเย๊อะมากกกกกกกกกกกกกกกกก.             มื้อค่ำเราได้กินกันเกือบ 2 ทุ่มเวลาเกาหลี แต่ถ้าเทียบเวลาไทยก็ 6 โมงเองก็โอเคอยู่นะกำลังหิวได้ที่ ร้านสุกี้นี้ตั้งติดกับโรงแรม Lotte world เลยครับ เผื่อใครไปเองก็แวะไปกินได้สำหรับผม ผมว่าอร่อยสุดในทริปแล้วหล่ะ

กินเสร็จหัวหน้าทัวร์  หัวหน้าทัวร์เอาไอติมเมล่อนมาให้ชิมคนละแท่ง คือมันอร่อยมากกกก กินเสร็จแถวนั้นมีเซเว่นถึงกลับไปหยิบมาอีกแท่ง และหลังจากมื้อนั้นก็กินไอติมทุกมื้อ !
หมายเหตุ : ใครอยากลองตาม foodland  , Top , Max valu มีขายครับแท่งละ 40 บาท

.     ติดกับร้านสุกี้นี้จะมีเซเว่น ผมเลยถ่ายภาพเซเว่นเกาหลีมาให้ชมกันครับ  เริ่มจากไอติมกันก่อน อร่อยมาก ผมชิมไปประมาณ 10 แบบอร่อยแทบทุกรสเลย

เอาจริงๆนะถ้าถามว่าผมประทับใจอะไรที่เกาหลีสุดก็ไอติมแท่งนี่แหละ 555555

น้ำดื่ม ก็มีหลากหลายคล้ายเซเว่นญี่ปุ่นครับ ( ตอนนี้หลังจากไปไต้หวันมา ให้เซเว่นไต้หวัน ชนะเลิศ  )

ที่น่าแปลก มีหมวก มีเสื้อและ และมีไม้ Selfie ขายด้วย !!

.       จบวันเที่ยววันที่ 2 เท่านี้ครับ เราเข้าโรงแรมประมาณ 2-3 ดาว ห้องค่อนข้างแคบ แต่โดยรวมสะอาด และนอนหลับสบายดีครับ
.     เข้าสู่วันที่ 3 ของทริป  เช้าวันนี้ไปที่ Songsan ichibong ยอดเขาที่เป็นไฮไลท์ของเกาะเชจู คาดหวังไว้มากเดินขึ้นเขาไปถ่ายภาพสวยๆ พอลงจากรถบัสก็เดินขึ้นเขา เดียวถึงยอดก็คงหายเหนื่อยเองแหละ วิวด้านบนต้องดีมากๆแน่ๆเลย

นี่คือภาพที่เราคาดหวังไว้ และปรากฎในสื่อโฆษณาทุกประเภท

เดินครับเดิน ขึ้นเขากัน

เดินไปแวะถ่ายรูปไป ประมาณ 25 นาทีก็มาถึงยอดเขา   โอ้โห……  คำแรกที่คิดในใจคือ “คุณหลอกดาว”  เฮ้ยยยยย แล้วไอ้ภาพในโปสเตอร์หล่ะ!!   ภาพนี้พยายาม ทั้งดึงและปรับสีแล้วก็ได้เท่านี้   คือลองมาคิดอีกทีคือแถวนั้นยอดเขานี้สูงสุด เค้าต้องถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์แหละถึงได้มุมนั้น เฮ้ย!โดนพี่เกาหลอกอะ

ยืนอยู่บนยอดประมาณ 5 นาทีก็ลงครับ ทางบันไดลงนี่กว่าบนยอดซะอีก

แล้วก็ถ่ายทุ่งแถวนั้นก็สวยดีได้นะ ถ้าไม่คาดหวังก็คงไม่ผิดหวังละมั้ง

Sopgochi
ซอฟจิโกจิ เป็นทุ่งหญ้ากว้างติดทะเล สามารถเพลิดเพลินไปกับความงามของโขดหินรูปร่างแปลกๆ รวมทั้งโบสถ์คาทอลิก ภาพความงดงามจึงเป็นสถานที่ดึงดูดยอดนิยมการถ่ายทำละครซีรี่ส์เกาหลี เรื่อง F4 เกาหลี IRIS (2010) สถานที่นี้เป็นที่ๆผมชอบที่สุดในทริปนี้เลยครับ สวยงามและประทับใจ นี่ถ้าดอกเรป ( ที่เป็นดอกสีเหลือง) บานทั้งหมดคงจะโรแมนติกมากๆ

เขาลูกนั้นก็คือ Songsan ichibong  ที่เราไปมาตากี้ไงครับ

ตามประวัติแล้ว เกาะเชจู นี่เป็นเกาะที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟครับ ที่แปลกกว่าที่อื่น ลองสังเกตุดูคือหินจะเป็นหินภูเขาไฟหมดเลย

หมดโปรโมชั่นท่องเที่ยวละได้เวลา เข้าร้าน

ร้านแรกที่เราไปคือ “ร้านน้ำมันสน”(1)  ในร้านห้ามถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอใดๆทั้งสิ้น ( คาดว่ากลัวจะเอาไปเผยแพร่ว่าหลอกยังไง … )
ร้านนี้ก็จะบอกสรรพคุณน้ำมันสน ว่าช่วยลดไขมันในเลือดได้ยังไง แล้วก็ทดสอบแบบบ้านๆให้ดู ว่าดักจับไขมันได้จริงนะ Bla bla
ราคาก็ประมาณ 1 หมื่นบาทต่อเซ็ท

เข้าร้านเสร็จก็มีคนในทริปเราเสียทรัพย์ไปบ้างต่อด้วยการกินข้าวกลางวัน พุลโกกิ (Bulgogi)   สำหรับผมที่ไม่ชื่อชอบอาหารเกาหลีอยู่แล้วให้สอบตก ไม่อร่อยอย่างแรง แต่ไกด์เตรียมน้ำจิ้มจากไทยมาก็เลยกินได้บ้าง

กินเสร็จก็จัด นมกล้วย ของขึ้นชื่อเกาหลีซะหน่อย …  อร่อยครับ ถ้าไปเกาหลีอย่าลืมซื้อกินนะ

.       จบจากการกินเราก็ไปดูม้ากัน Pony Valley  ที่นี่จะเป็นการแสดงม้า และเล่าเรื่องราวต่างๆ เช่น เรื่องเจงกีสข่าน โชว์กายกรรมบนหลังม้า เป็นต้นก็ดูเพลินดีครับ ดูประมาณ 30 นาที  ( เสียค่าตั๋วประมาณ 20,000 วอนต่อคนมั้งครับไม่มั่นใจ แต่รวมไปในทัวร์แล้วไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

.       ต่อด้วย หมู่บ้านวัฒนธรรมซองอับ(2)) หมู่บ้านนี้เข้าฟรีและจะมีคนบรรยาย เรื่องการกินอยู่วิถีชาวบ้านโบราณของคนที่เกาะเชจูนี้ครับ

สัญลักษณ์อันเก่าแก่ของเกาะเชจูแห่งนี้ คือ “ทอลฮารุบัง (돌 하르방)” หรือ “หินปู่” เป็นรูปปั้นทำจากหินลาวาสลักเป็นรูปคนแก่ใจดีมีให้เห็นอยู่ทั่วไป   ไกด์บอกว่ามันคือศิวลิงค์ของคนเกาหลีหน่ะแหละ   จะว่าไปก็คล้ายกับโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์เน้อะ    ขอมโนว่าได้ไปถ่ายรูปกะ โมอาย ที่เกาะอีสเตอร์ก่อนแล้วกัน

หลังบรรยายเสร็จที่นี่ก็จะขายของเช่นกัน  ขายน้ำโอมิจา อะไรเนี้ยว่ามีวิตามินสูงมาก กินแล้วหน้าเด็ก ผิวพรรณดีไรงี้
และก็จะขายกระดูกม้า  ที่บอกว่ามีแคลเซียมสูงสุดในกระดูกสัตว์ทุกชนิดเลยนะ  สนนราคาก็แถวๆหมื่นเช่นกัน  สรุปว่าที่นี่บรรยายวัฒนธรรมและก็ขายของ

.        และต่อด้วยการเข้าร้านแบบรัวๆ ร้านโสม(3)  อันนี้คงรู้สรรพคุณกันอยู่แล้ว ร้านเค้าก็จะบรรยายไป (คนไทยล้วน) แต่ร้านนี้ราคาแรง เซ็ตก็ประมาณ 1-2 หมื่นอัพหน่ะ ก็ซื้อกันตามศรัทธา ส่วนผม..นักเดินทางเป๋าแห้ง โสมแพงกว่าค่าทัวร์เกือบสองเท่าจะซื้อเหรอ? หึๆ

.        ต่อด้วยร้านเครื่องสำอางที่จัดพิเศษเฉพาะคนไทยเช่นกัน ร้าน Midam Cosmetic(4) ที่ร้านนี้ก็จะมีพวกครีมที่คนไทยรู้จักอย่างดิบดี เช่น ครีมน้ำแตก ครีมหอยทาก อะไรพวกนี้ครับ.       จบการเข้าร้านรัวๆ ก็ไปกินข้าวครับ มื้อเย็นเราเป็นปิ้งย่างหมูดำ  ผมนี่คิดถึงน้องหมูที่หมู่บ้านวัฒนธรรมขึ้นมาเลย แต่นี่มันยุคใหม่แล้วเลี้ยงกับฟาร์มหมดแล้วครับอย่าไปคิดมาก  กินกระหนำมาก หมูเกาหลีกินกับผักสดๆอร่อยมาก และเติมได้ตลอดครับ มื้อนี้ให้สามผ่าน

วันสุดท้าย
เนื่องจากเมื่อวานเราเป็น ”เด็กดี”  เข้าร้านขายของรัวๆ ทำให้วันนี้เรามีเวลาตื่นสายขึ้น เป็นรถออก 9:30 แทน
จริงๆคือไม่ได้อยากออกสายขึ้นนะ ช่วยไปร้านทั้งหมดให้เสร็จแล้วปล่อยช็อปตอนเย็นแทนๆได้มะ แต่ทุกคนโอเคเราก็เงียบอะนะตามเสียงส่วนใหญ่ ตื่นสายหน่อยก็ดี

.         ออกจากโรงแรมร้านแรกที่เราไปก็จะแถวๆสนามบิน  ร้านสมุนไพร(Korea Herb) (5)
ร้านนี้ขายสมุนไพรเมล็ดฮ๊อกเกต ช่วยในการล้างสารพิษที่ตกค้างหรือไขมันที่สะสมอยู่ภายในผนังของตับหรือไต… ขาดื่มก็จัดกันไป เฉียดๆหมื่นเหมือนกัน

ว่าด้วยเรื่องร้านสมุนไพรซะหน่อย ถ้าใครเคยไปทัวร์จีนมาแล้วคงคุ้นเคยกันดี
– หมอแมะ ที่จะบอกว่าเราเป็นโรคสารพัด   และโชว์กำลังภายในได้อย่างน่าอึ้ง
– ร้านหยก  ที่จะบอกว่า วันนี้ลูกเจ้าของร้านมา และชอบคนไทยมากและจะลดราคาให้เวอร์ๆ เป็นการแสดงละครอย่างหนึ่ง
– ร้านผ้าไหม ร้านชา ร้านบัวหิมะ

ผม…ที่ไปทัวร์จีนมาแล้ว 3 รอบผ่านประสพการณ์การขายคุณพี่จีนมาแล้ว ของคุณพี่เกานี่เด็กๆไปเลยครับ คุณพี่จีนเนียนและเทพกว่าเยอะ ใช้กำลังภายในน่าเชื่อถือว่ากว่าเย้อะะะะ  พี่จีนยังกินตังผมไม่ได้สักบาท …  เพราะผมไม่มีเงินให้เสียหน่ะสิ.      ร้านละลายเงินวอน (6)  อยู่ในอาคารเดียวกับร้านสมุนไพรเลยพอเดินลงมาชั้นล่างก็เป็นซุปเปอร์มาเก๊ต ที่ขายเฉพาะคนไทยเท่านั้น ส่วนราคาคือ ขายราคาเต็มเท่าเวลาซื้อเซเว่นแหละ ไม่ใช่ร้านขายส่งอะไร เพราะฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับซื้อของกิน เช่น มาม่า ขนม สาหร่าย  เพราะว่าร้านเค้าจะมีกล่องแพคสินค้าให้ เวลาขนกลับไทยก็ง่าย   ราคาไม่ต่างกับไปเหมาเซเว่น เพราะมากับทัวร์เค้าคงไม่ได้พาไป Discount store แบบ โลตัส บิ๊กซีบ้านเราไรอยู่แล้ว

แต่! เครื่องสำอางแบรนด์เกาหลีให้ไปซื้อที่ duty free / ตลาดจะดีกว่าครับถูกกว่า

เรามาดูของในร้านละลายเงินวอนกันบ้าง เผื่อใครจะเล็งอะไรไว้

อาหารกลางวันเราเป็น Jim-Dak  เป็นเมนูต้มไก่ ใส่วุ้นเส้นเกาหลี อันนี้ก็อร่อยเช่นกันสอบผ่านนนน

กินข้าวเสร็จต่อด้วย ยงดูอัมร็อค หรือ โขดหินรูปหัวมังกร :

ดูคำบรรยาย
โขดหินรูปมังกร อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ทางธรรมชาติของเกาะเชจู เกิดจากการกัดกร่อนของน้ำและคลื่นลมทะเล เกิดเป็นประติมากรรม ซึ่งถือว่าถ้าใครไม่ได้มาเยี่ยมชมถือว่ามาไม่ถึงเกาะเชจู ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ให้มีหินลักษณะพิเศษ เหมือนกับมังกรกำลังอ้าปากส่งเสียงร้องและทะยานจากฟ้าลงสู่ท้องทะเล

.
.
.
.

เป็นอีกที่ ที่ต้องบอกว่าเกาหลีเค้าโปรโมทได้ดีจริง พอไปเจอแล้วต้อง “คุณหลอกดาว” อีกรอบ เพราะ… (ลองดูภาพละกัน)

อึ้งกะมังกร เสร็จมองไปเห็น เอ๊ะตรงนั้นเค้ามุงอะไรกันซูม ไปดูหน่อยเค้ากำลังกินอาหารทะเลสดๆกันนั่นเอง

พอมาดูใกล้ๆจะเจอ อาจูม่า หั่นปลาหมึกสดๆเด้งดึ๊บๆแบบในหนัง กวนมึนโฮ อยากกินนะแต่ถามราคาตรงนี้แพงเกินไปมากเลยครับ เลยไม่ได้ชิม

ไอศกรีมที่ฮิตกว่าหัวมังกรเย๊อะ  ถือว่ารสชาติใช้ได้นะใครอยากลองก็ลองได้

.    แต่ผมว่าไอติมเซเว่นอร่อยกว่า  ตรงข้ามทางเข้ามีเซเว่นครับผมก็เสร็จไอติมอีกแท่ง

.    ต่อด้วย ช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีที่ ชิลล่าดิวตี้ฟรี (Shilla Duty Free Shop)  ก็คล้ายกับ King power รางน้ำเราอะนะครับ มีทั้งถูกกว่าไทยและแพงกว่าไทย เครื่องสำอางแบรนบ้านๆของเกาหลี เช่น Skinfood , Etude ให้ไปซื้อตรงตลาดดีกว่าครับ ถูกกว่าแต่ถ้าแบรนด์ hi-end ตรงตลาดอาจไม่มี  ที่นี่ให้เวลาประมาณ 1 ชม. ครับ

จากนั้นก็เข้าสู่อีกสถานที่ๆผมรอคอย ตลาดใต้ดินเชจู ( Jungang shopping mall )

เป็นถนนช็อปปิ้งของเกาะเชจูเค้าหน่ะครับ ถ้าใครมาเองก็น่าจะพักแถวๆนี้แหละจะได้เดินช็อปมันๆหน่อย ไกด์ให้เวลาประมาณ ชม.ครึ่งครับ ผมเดินไปทั่วเลย เวลามีน้อยใช้สอยอย่างประหยัด

เดินด้านบนกันก่อนครับ

งาน New balance ก็มา

.        สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยพลาดเวลาไปตปท. ก็คือ Street food  เทคนิคในการเลือกกินของผมก็คือดูร้านที่ดู พื้นบ้านที่สุด หน่ะครับผมใช้เทคนิคนี้มาตลอด แต่ก็มีพลาดกันบ้าง แต่ผมว่าคุ้มนะสิ่งที่เราได้มันคือรสชาติชีวิตไง

ผมได้ยินเสียง เฮฮาก็เดินทางเสียงไป ข้ามถนนไปถนนตรงข้าม เดินวนไปวนมา ก็เจอสวนสนุกขนาดย่อมอยู่ริมทะเล

ไม่มีอะไรเท่าไหรแฮะ กลับมาถนนช็อปปิ้งดีกว่า

ด้านบนถนนจะเป็นสิ้นค้าแบรนด์เนม ที่มีราคาสูงหน่อย แต่ถ้าเข้าตลาดใต้ดินก็จะถูกหน่อยครับ ใครตามหาเสื้อผ้าเกาหลี เครื่องสำอางทั้งหลาย ให้ลงมาด้านล่างนะครับ ( Jungang shopping mall )

.       มื้อสุดท้ายเราจะต้องเสียเงินกินข้าวเองก่อนขึ้นเครื่องครับ ผมทานร้านในใต้ดินนี่แหละ เหลือเงินวอนอยู่ ก็เลยสั่งไซส์ใหญ่เลยแล้วกัน แล้วสิ่งที่ผมได้ก็ต้องตะลึงไปเลย เพราะมันใหญ่มาก ลองเทียบกะมือผมนะครับ ประมาณ 4 เท่าเวลาเรากินทงคัสซึบ้านเรา จานนี้ประมาณ 300 บาทไทยครับ

( ขออภัยจำชื่อร้านไม่ได้ครับ )

คิดว่าผมกินหมดไหมครับ?
.
.
.
.
.
.
.
หมด ด้วยการแบ่งให้เพื่อนๆช่วยชิมกันคนละครึ่งชิ้นครับ 555+  นี่คือยึดเข้าไปจนหมด คือผมเคยคิดจะไปท้าพวกร้านจานใหญ่มาหลายรอบ แต่ไม่กล้าสักทีได้มาแข่งกินจุย่อมๆที่เกาหลีแทน  และได้รู้ซึ้งว่า ตูไม่ได้กินจุอะไรเล้ย

หลังจากกินเสร็จก็ขึ้นรถบัสครับ  เอ๊ะ… ยังไม่จบครับ.         พอขึ้นรถแล้ว น้องช่างภาพที่อยู่กับเราตลอดทริป ช่วยบริการ ช่วยเสริฟอาหาร ช่วยถ่ายภาพให้ เค้าจะขายภาพให้เราครับ ภาพก็จะมัดมาเป็นปึ้งๆ ขายใบละ 150 บาท โดนกันคนละ 20 ใบครับก็ประมาณ 3,000 บาทต่อคน แต่เค้าไม่บังคับซื้อนะครับ แล้วแต่ความสมัครใจ แต่คือมันลำบากใจไงครับเหมือนเค้าทำอะไรให้เรา แต่เราไม่ตอบแทนเค้าเลย

ผมที่เลี่ยงการถ่ายรูปมาตลอดเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะมีประมาณนี้ ช่วยเค้าซื้อภาพหมู่มาใบหนึ่งครับ แต่ถ้าใครคิดว่าเค้าบริการดี ก็ช่วยเค้าซื้อถือว่าเป็นทิปครับ สัก 300-500 บาทก็ได้  หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ ขึ้นเครื่องกลับถึงประมาณ ตี 2 เวลาไทย

ผมขอวิเคราะห์แบบมั่วๆ  ที่ค่าทัวร์ถูกขนาดนี้เพราะทางทัวร์ มีต้นทุนถูกจากการเช่าเหมาลำ และได้เงินอุดหนุนจากการที่พาเราเข้าร้านทั้งหลายครับ ดังนั้นก็ต้องทำตามกติกาเข้าร้านเค้า ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร

สรุปข้อควรรู้ก่อนซื้อทัวร์ไปเกาหลีมี 10 ข้อดังนี้ครับ

1.    50% ของโปรแกรมเที่ยวคุณจะอยู่ที่ร้านขายของ คุณจะได้เที่ยวจริงๆประมาณ 1 วันครึ่ง เพราะอีก 1 วันครึ่งจะต้องเข้าร้าน
2.    ทัวร์ให้เวลากับร้านค้าพวกนั้นนาน แต่จำกัดเวลาในแต่ละที่เที่ยวเพราะร้านทุกร้าน “ต้องเข้า”
3.    การทดลองในร้านขายสมุนไพร (ผมคิดว่า)เป็นเพียงทริคมายากล ที่ทำให้น่าเชื่อถือเท่านั้น (ทุกร้านห้ามถ่ายรูปและวิดีโอ)
4.    ราคาสมุนไพร เช่น โสม น้ำมันสน ทำเอาหมดเนื้อหมดตัวได้เพราะราคา “แพงมาก” หลักหมื่นอัพ
5.    ร้านละลายเงินวอน ขายเต็มราคาเทียบเท่าร้านสะดวกซื้อเป็นร้านสำหรับขายทัวร์โดยเฉพาะ
6.    หนุ่มที่เป็นผู้ช่วยไกด์ และ ถ่ายรูปให้คุณ เค้าหวังจะขายรูปให้คุณเมื่อจบทริป
7.    ทิปไกด์และคนขับจะไม่รวมในราคาทัวร์แต่ทุกคนต้องจ่าย อีก 600 บาท
8.    ทุกร้านที่พาไปไม่บังคับให้ซื้อ แต่ทุกคนต้องเข้า
9.    คิดว่าทัวร์ซื้อจากเจ้าไหนก็ได้ที่เชื่อใจได้ เพราะเค้าเอาไปส่งต่อทัวร์เกาหลีอีกที ( คงไม่ทุกเจ้า แต่ที่โปรแกรมเหมือนกันคิดว่าส่งต่อหมด )
10.    สำหรับผมคิดว่า “คุ้มค่า” ถ้าไม่คิดอะไรไปเถอะครับราคางี้ไปเองค่าตั๋วยังไม่ได้เลย

ขอจบรีวิวเพียงเท่านี้ครับ ทริปส่งท้ายปีประเทศ Backpack ไต้หวัน (Taiwan) 9 วัน คงเป็นรีวิวถัดไปครับ

ติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::

Instragram :@ChillJourneyTH
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney

Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!