หลายครั้งเราหาข้ออ้างให้ตัวเองในการไม่ออกไปไหนด้วยคำว่า “ไม่มีเพื่อน”
.
.
มันใช่ข้ออ้างจริงหรือ?
หรือเราแค่หาวิธีลบล้างความฝันของตัวเองด้วยเหตุผลง่ายๆ?
. เมื่อ 3 อาทิตย์ก่อนผมได้รับโอกาสจากทาง AirAsia ชวนไปสิงคโปร์.. เลยมาชวนเพื่อนในเพจไปเที่ยวกันอีก 3 คน.. วิธีการเลือกเพื่อนร่วมทริปเราก็ง่ายๆให้เขียนเหตุผลที่ควรถูกเลือกแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรยากและไม่มีเส้น
เตรียมตัว
01. ตั๋วเครื่องบิน
. AirAsia มีไฟล์ทบินไปสิงคโปร์ถี่มาก รวมทั้งเวลาบินจากไทยดีเหมาะกับการเที่ยวให้คุ้มมาก ถ้าใครเวลาน้อยและอึดพอเราอยากแนะนำคือไฟล์ทเช้าสุด และ กลับดึกสุดไปทั้งทีเที่ยวให้คุ้ม
02. แผนเที่ยว
จริงๆแล้วสิงคโปร์แนะนำให้ไปสัก 3 วันเป็นอย่างน้อย โดยเผื่อเวลาให้กับการไปเล่น Universal Studios Singapore เต็มๆเลย 1 วัน .. แต่พวกเราเหล่ามนุษย์เงินเดือนกับชีวิตปลายปีที่วันลาใช้จนเกลี้ยงเลยตัดใจไปเพียงแค่ 2 วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น แผนการเที่ยวของผมตามไปลอกได้เลย ซึ่งถือว่าโอเคมากเที่ยวคุ้มเวอร์ เที่ยวไม่หย่อน กินไม่หยุด (ถ้ามีเวลาอีก1วันก็จัด Universal เพิ่มไปคือจบ)
03. งบประมาณ
ทริปนี้เราใช้ไปประมาณ 3,000 บาทต่อคน ไม่รวม ค่าตั๋วเครื่องบินที่ได้มาฟรี และ ค่าช็อปปิ้ง
( แลกไปเรท 25.45 บาท)
- ค่าที่พัก 25 SGD = 640 บาทต่อคน
- ค่าเดินทาง 26.4 SGD = 672 บาทต่อคน ( แนะนำให้ซื้อ Singapore tourist pass 2 วัน = 16 SGD )
- ค่าน้ำและอาหารประมาณ 68 SGD = 1,700 บาทต่อคน
Day 1 – ดอนเมือง – สิงคโปร์
. ผมเลือกบินไฟลท์เช้าสุดของ AisAsia คือ 6.15 พวกเราเลยต้องมาถึงสนามบินตั้งแต่ตี 4 เช้าขนาดนี้วันทำงานคงไม่ตื่น แต่วันเที่ยวสู้ขาดใจ มาถึงนัดเจอ “คนแปลกหน้า” ผู้ชนะอีก3คนที่เราเลือกมา พวกเราทั้ง 4 คนไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน คุยไลน์กันก่อนบินแค่ 5 วัน
. ทุกคนดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งผมผู้นำทริป ก็ยังไม่กล้าจะคุยอะไรกันมากได้แต่แนะนำชื่อและอายุกันเล็กน้อยเพื่อจะเรียกพี่/หรือเรียกน้องได้ถูกต้อง แต่ทุกคนดูมีความตั้งใจในการออกเดินทางอย่างเต็มที่ไม่แพ้กันไม่มีพี่ไม่มีน้อง
ที่นั่งภายใน AirAsia ไม่แคบอย่างที่คิด สำหรับคนสูง 174 แบบผมถือว่านั่งได้สบาย ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
เมื่อเครื่องบินสัก 30 นาทีจนแตะระดับความสูงที่ปลอดภัย พนักงานก็จะเริ่มเสริฟข้าวให้กับคนที่จองผ่านเว็บมาล่วงหน้า สำหรับไฟล์ทเช้าแบบนี้ทานข้าวบนเครื่องแก้หิวทำให้อารมณ์ดีนอนหลับโดยท้องไม่หิว วันนี้เราสั่งมาเป็น ข้าวผัดกะเพราหม่อมน้อย ผมว่ารสชาติอร่อยเลยแหละ ปริมาณก็พออิ่มในหนึ่งมื้อ
อนุบาลความฝัน
. 9:40 (เวลาสิงคโปร์เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) เครื่องบินหอบหิ้วคนไทย 4 คนมาสู่สิงคโปร์เมืองที่เจริญด้วยเทคโนโลยี และเป็นเมืองที่เป็นโรงเรียนแรกในการเรียนวิชาออกเดินทางของหลากหลายคน วันนี้ผมดีใจที่ได้พาพี่คนหนึ่งที่ไม่เคย Backpack มาก่อนในชีวิตและเราได้พาเค้ามาเปิดโลกใบใหม่ที่เค้าไม่เคยกล้าเดินออกมา
สู่เมือง
. เมื่อถึงสนามบิน Changi Airport รับกระเป๋าแล้วเราไป Terminal 3 เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าเมือง เราซื้อบัตรที่ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น ez link บัตรแตะขึ้น MRT และซื้อของได้หลายร้าน จริงๆเราตั้งใจจะซื้อ Singapore tourist pass ใช้เดินทางแบบไม่จำกัดใน 2 วันราคาเพียง 16 SGD แต่… มันขายที่ Terminal 2 เท่านั้น(ตอนนี้เราเดินมาถึง Terminal 3 แล้ว) พวกเราไม่อยากเสียเวลาย้อนกลับไป ก็เลยซื้อบัตร ez link แทนซึ่งลองคำนวนแล้วแบบ pass คุ้มกว่าเยอะเลย
. เราก็นั่งรถไฟฟ้าไปที่พักเราจองไว้ชื่อ Drop Inn Singapore เป็นโฮสเทลที่มีห้อง Private อยู่ห่างจากสถานี Boon keng 400 เมตรดูในรีวิวแล้วโอเคแล้วราคาน่ารัก 100 SGD ต่อห้อง หารแล้วเหลือคนละ 25 SGD = 640 บาทต่อคนก็โอเคสำหรับเอาไว้แค่เก็บของและนอน
. โฮสเทลนี้เป็นโฮสเทลเล็กมากๆมีแค่ไม่กี่ห้อง เจ้าของนิสัยดีช่วยแนะนำอย่างดี ห้อง private เรานอนได้ 4 คน ภายในห้องจะมีมุมหนึ่งเป็นเตียง ให้ 2 สาวเค้านอนกัน ส่วนทางมุมขวาจะเป็นเตียงสองชั้น ผู้ชายแบ่งกันนอนคนละเตียง
- ความสะอาด ถือว่าโอเคเลยแหละ
- ทำเล ใกล้รถไฟฟ้าก็จริงแต่ย่านนี้ไกลแหล่งพอสมควร ผมว่าถ้าหาแถว china town ได้จะสะดวกต่อการกินและการเดินทางกว่า
คือตอนแรกเราตั้งใจจะไปกิน มะตะบะร้านดังชื่อ Singapore zam zam ที่ย่าน Bugis แต่กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบ 11 โมงแล้ว ท้องเริ่มหิวเลยไปกินอะไรง่ายๆใกล้ๆที่พัก ได้ก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง รสชาติน้ำซอสไม่ค่อยโอ แต่ลูกชิ้นปลาอร่อย
อิ่มคาวแล้ว ร่างกายเริ่มต้องการของหวานเลยไปสถานี Bugis กัน ซึ่งเรามีภารกิจ 3 อย่างย่านนี้ลองดูแผนที่นะมันไม่ไกลกัน เดินได้หมด
- เพื่อไปกินเฉาก๊วยสไตล์ไต้หวันสุดอร่อยร้าน Blackball ร้านนี้อยู่ใต้ตึก Bugis+
- ไปไหว้พระวันกวนอิม
- ไปเดินเล่นย่าน Haji lane ถนนสุดฮิป
อย่างแรกเลยคือร้าน Black ball อยู่ใต้ห้าง Bugis+ ร้านนี้เป็นขนมหวาน เฉาก๊วยน้ำแข็งใสสไตล์ไต้หวันประยุกต์ผมเคยกินเมื่อ 2 ปีก่อนที่นี่ ร้านนี้แล้วอร่อยมากกกกกกก ตอนไปไต้หวันไปเดินตามหาตั้งนานก็หาไม่เจอ เลยตั้งใจจะมากินเลยนะเป็นภารกิจหลัก 55+
สั่งกันมา 2 ถ้วยตัว Signature สั่งแบบ เฉาก๊วยเกล็ดน้ำแข็ง ราดด้วยเครื่องเน้นๆ อย่าลืมขอ milk cream มาราดด้วยนะ อร่อยมากฟินมากกก อ้อ…ที่ร้านเค้ามีโปร upsize เพิ่ม 1 SGD จะได้ไซส์ใหญ่เบิ้ม…คือโคตรคุ้ม อย่าพลาดแบบสาวๆแก๊งเรา ลองดูภาพถ้วยหลังอะเห็นมะเล็กกว่าตั้งเยอะ 😛
อิ่มแล้วไปไหว้พระเสริมศิริมงคลกันหน่อย ก่อนถึงวัดกวนอิม 30 เมตรจะมี วัดแขกศรีกฤษณ์ (Sri Krishnan Temple) เราไม่ได้เข้าไปด้านใน เพียงแต่ไหว้ด้านนอก
ขยับมาอีกไม่กี่ก้าวก็มาถึงวัดเจ้าแม่กวนอิมแล้ว เจ้าแม่กวนอิมชื่อว่าวัด Kwan Im Thong Hood Cho Temple วัดศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธย่าน Bugis เลยวัดนี้ดังมากในสิงคโปร์ที่ใครๆ ต่างมาไหว้ขอพรให้สมปรารถนาดังใจ.. ที่ผมต้องมาที่นี่ ก็เพราะว่าครั้งที่แล้วผมได้ขอไว้ว่า
“ให้ผมได้กลับมาไหว้ท่านอีก”
วันนี้คำขอเราเป็นจริงเราก็เลยต้องมาไหว้ท่าน แต่…ภายในไม่ให้ถ่ายรูปนะครับจึงไม่มีภาพด้านในให้ชมกันแต่องค์เจ้าแม่สวยมากๆ
ตะลุยย่านฮิป !
จบภารกิจกินและไหว้พระ ได้เวลาแปลงร่างไปเดินเล่นกันที่ย่านสตรีทแฟชั่น ภาพ Graffiti ยอดฮิตของวัยรุ่นสิงคโปร์และนักท่องเที่ยวอย่างเรา Haji lane ชื่อนี้จำไว้ให้แม่นครั้งหน้าจะได้ไม่พลาดไปเยือน จากสถานี Bugis เดินตรงไปเลยดูตามแผนที่
เดินไม่ไกลนักก็ถึงแล้วจะเป็นซอยถนนเล็กๆ บ้านแต่ละหลังก็จะมีสไตล์เก๋ๆเป็นของตัวเอง มีร้านกาแฟน่านั่ง ร้านรวงน่ารัก ร้านเบียร์ ร้านคุ๊กกี้หอมๆ มุมไหนก็ดูดีน่าถ่ายรูปไปหมด เชิญจัดเต็มคิดซะว่านี่เป็นสถานที่ของเรา ถ่ายกันร้อยแอ๊คได้เลย
น้องคนนี้เป็นนายแบบเปล่าไม่แน่ใจ มีตากล้องหลายคนมาถ่ายน้องเค้าเป็นเซ็ตเลย
คนนี้ไม่ใช่นางแบบนะ แต่เป็นเพื่อนร่วมทริปเราเอง ^^
. ถ่ายรูปกันจนเหงื่อหยด เหงื่อย้อยแล้ว (ถ้าไปเย็นๆคงดีกว่านี้นะ) หนึ่งในสมาชิกเราอยากกินโดนัทที่ยังไม่มีขายในไทย J.CO ก็เลยไปต่อกันที่สถานี Cityhall เดินลงมาชั้นใต้ดินเดินหานิดเดียวก็เจอละ ไม่รู้จะกินหน้าไหนดีเลยสั่งแบบชิ้นเล็ก 12 รส มาชิมกันคนละนิดคนละหน่อย ก็อร่อยดีนะ
. บางคนก็บอกว่าอร่อยกว่าที่ขายๆในไทย ส่วนชิลว่าก็อร่อยแต่ไม่ต้องกระเสือกกระสนไปกินก็ได้ ไม่ได้อร่อยโดดเด้งกว่าเจ้าอื่นขนาดนั้น ถ้ามีเวลาก็น่าลอง แต่ถ้าไม่มีก็ต้องหรอก แต่ที่ห้าง City hall เนี้ยก็มีของอร่อยๆร้านอร่อยๆเยอะมาเดินช็อป เดินกินเพลินๆได้
เริ่มเย็นละเรามีภารกิจไปนั่งชิวๆ ชมพระอาทิตย์ตกกันที่ Marina barrage เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวสิงคโปร์ ที่วิวแจ่มโคตรๆๆๆ ไม่ควรพลาดทุกประการ วิธีการเดินทางให้นั่ง MRT มาลงที่สถานี Marina bay จำ Exit ไม่ได้แต่มีป้ายบอก พอขึ้นมาจากสถานีจะเจอแบบนี้
พอเดินถึงถนนนี้ให้ข้ามทางม้าลายไปแล้วเดินต่อไปอีกบล็อคหนึ่งจากนั้นจะเห็นป้ายรถเมลล์ ลองดูแผนที่ประกอบ
ดูตามแผนที่นะ ให้เดินข้ามถนน 2 รอบแล้วเดินมาทางซ้ายจะมีป้ายรถเมล์ รถเมลล์จะต้องวิ่งไปทางขวาตามเส้นสีแดงที่ผมวาดนะ รถบัสสาย 400 นั่งไปเรื่อยๆประมาณ 10 นาทีจนถึงป้ายสถานี Marina barrage ( เลยป้าย Garden by the bay ไป 1 ป้ายมั้ง )
พอลงแล้วเราก็รีบเดินเลย เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกเราไปหลบฝนกินกาแฟกันมาครึ่งชม. โชคยังดีที่ฟ้าเปิดให้เราได้มาที่นี่ ฟ้าเริ่มมีเค้าว่าจะมืดก็วิ่งสิครับวิ่ง รออะไร วิ่งขึ้นไปเลย แค่ทางขึ้นก็สวยแล้ว
ถึงด้านบนจะเป็นวิวแบบนี้ เป็นลานหญ้ากว้างๆเลยที่จะเห็ยคนสิงคโปร์เค้ามาพักผ่อนกัน วิวด้านหลังจะเป็น Marina bay sand , Garden by the bay รวมทั้งมองเห็น Singapore flyer ด้วยนะเป็นจุดที่แจ่มจรัสมากๆ หญ้าเขียวๆตัดกับ landmark ทั้งหลายคือดีเว่อวังมากกกก
เราก็นั่งชิวๆ และถ่ายรูปกันประมาณพันกว่าแอ๊คที่ตรงนี้ตั้งแต่ฟ้าสว่างจนฟ้ามืด ยิ่งพอมืดๆตึกต่างๆจะเริ่มเปิดไฟ ยิ่งสวยกว่าเดิมอีก
จากนั้นเรารีบวิ่งต่อไปยัง Garden by the bay สวนยักษ์ที่พี่สิงคโปร์เค้าเนรมิตรขึ้นมา มันจะมีการแสดง แสงสีเสียงฟรีๆให้ชมตอนเวลา 7:45 PM , 8:45 PM เราเลยวิ่งกันไปให้ทันรอบ 7:45 PM แล้วก็ทันจริงๆสวยมากๆประทับใจมากกก
จบจากการดูแสงสีที่ Garden by the bay เดินข้ามสะพานมาจะทะลุเข้า Marina bay sand โรงแรมและคาซิโน สัญลักษณ์ของสิงค์โปร์ ตอนนี้ 3 ทุ่มครึ่งแล้วท้องหิวจัดเลยไปหาอะไรกินกันที่ food court เดินไกลเหมือนกันอยู่ชั้น B2 มั้ง แต่ถือว่าคุ้มเราแยกกันกินหลายร้านแต่อร่อยทุกร้านเลย
กินเสร็จได้เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่งเราเลยตกลงว่าเราจะรอดู Wonderful show กันตอนรอบ 23:00 วันนี้เลย
Wonder Full ที่ Marina Bay Sands คือการแสดง Light and Water Show ประกอบแสงสีเสียง ผมชอบและประทับใจการแสดงที่นี่มากๆครับ อันนี้ผมเดาเองว่าเนื้อเรื่องน่าจะประมาณเล่าเรื่องวิถีชีวิตคนสิงคโปร์ เพราะมีภาพตั้งแต่เด็กๆวิ่ง จนถึงผู้สูงอายุเลย ที่สำคัญ!! ฟรีอีกแล้ว
SHOWTIMES:
Sunday – Thursday: 8:00pm, 9:30pm
Friday & Saturday: 8:00pm, 9:30pm, 11:00pm
Wonder full is shown FREE nightly, weather permitting.
DURATION:
15 minutes.
จบการแสดง 13 นาทีที่ประทับใจมากๆ วันนี้ตอนแรกเราแพลนไว้ว่าถ้ามีแรงจะไป night life กันที่ย่านกินดื่ม clarke quay แต่ทุกคนตื่นแต่เช้าและพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว กลับไปพักร่างกันดีกว่าครับ ( รวมทั้งรถไฟกำลังจะหมดเที่ยงคืนถ้าเราไปต่อต้องนั่งแท็กซี่กลับ มันเปลืองเงิน 55 )
Day2 : Singapore here we are
. เมื่อคืนเราถึงที่พักด้วยรถไฟเที่ยวสุดท้ายกว่าอาบน้ำนอนกันใกล้ ตี 1 และ 6 โมงเช้าเป็นเวลานัดหมายที่ทุกคนจะต้องออกจากที่พัก … นั่นหมายถึงบางคนตื่นตี 4 ตี 5 ส่วนผมเหรอ ล้างหน้าแปรงฟันก็พอแล้วเช้าๆตื่น 5:30 ครับ
. เช้านี้เรามีแผนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ Merlion Park นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีใกล้สุดคือ Raffles place แล้วออก Exit H จากความพยายามในการแหกขี้ตาขึ้นมาแต่เช้าพอมาถึงครับ … ” ฝนตก ” ช็อคครับช็อค ถ่ายภาพมาเล็กน้อยแล้วรีบเผ่นหลบฝนเลยครับ รวมทั้ง Merlion ก็กำลังปิดปรับปรุงด้วยจะซ้ำเติมกันไปไหน T-T
เผ่นไปที่ถัดไปกันดีกว่าครับเราไปต่อกันที่ China town ตั้งใจไหว้วัดพระเขี้ยวแก้ว แต่พอเดินผ่านด้านหลังวัดเป็นตึก China town complex ชั้น2 จะเป็น Food court ซึ่งดูคนท้องถิ่นกินกันเยอะเลย เราก็เลยไปลองกันครับ
พวกเราแต่ละคนต่างคนต่างไปลองกันคนละอย่าง แต่ที่อยากแนะนำให้มากินคือร้านโจ๊กร้านนี้ครับ ขึ้นบันไดแล้วมองไปทางขวาเลย ร้านโจ๊กร้านนี้อร่อยมากๆ ไม่แพงด้วยครับ 3 SGD เท่านั้นเอง
ฝั่งตรงข้ามของร้านโจ๊กมีร้านเต้าหู้ ผมลองสั่งน้ำเต้าหู้ผสมเฉาก๊วย แก้วนี้ 1.5 SGD ก็..อร่อยพอใช้ได้นะแต่ไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ก็สดชื่นดี
วัดพระเขี้ยวแก้ว (tooth relic buddha temple)
. เดินไม่กี่ก้าวจากตึกตากี้ก็มาถึงวัด วัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ด้วยทุนสร้างกว่า 53 ล้านเหรียญสิงคโปร์ !! โดยออกแบบเป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง ด้านในจะมี 4 ชั้น แบ่งเป็นโซนต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธ อลังการงานสร้างมากๆไม่ควรพลาดที่จะมาไหว้สักการะเลยครับ
ที่ตั้ง : 288 South Bridge Road ในย่านไชน่าทาวน์
Web site : www.btrts.org.sg
เปิดบริการ : ทุกวัน 7:00-19:00 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี
พิกัด : 1.281313,103.844462
. ไหว้ชั้นล่างเสร็จแล้วให้ขึ้นลิฟท์มาชั้น 4 ครับจะมีสวนย่อมๆแบบนี้และมีระฆังอันใหญ่อยู่ตรงกลาง ให้เรามาอธิฐานแล้วเข็นระฆังเป็นวงกลมจำนวน 3 รอบเพื่ออธิฐานครับ จากนั้นลองเดินลงวนไปชั้น 3 – 2 -1 ตามลำดับแต่ละชั้นสวยมากๆครับแต่น่าจะไม่ให้ถ่ายภาพครับ ผมจึงไม่มีภาพมา ( ไม่ก็…ตอนนั้นผมขี้เกียจถ่าย 555 )
จบจากการไหว้พระ เราเดินย้อนกลับไป MRT China town กันครับ ย่านนี้ตึก็สวยน่ามาเดินเล่นถ่ายรูปไม่แพ้ย่านอื่นเลย
เรากลับที่พักไปงีบ-อาบน้ำ กันประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเช็คเอ้าท์และฝากกระเป๋าไว้ที่พัก บ่ายๆไม่รู้จะไปไหนเลือกกันอยู่นานและนึกขึ้นได้ว่าพี่จุ๊ที่เคยทำงานอยู่สิงคโปร์ ( เพจ Tales from the backpack เรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทาง ) บอกว่าเค้าชอบไปทางกาแฟที่ย่าน Holland village ผมลองค้นๆดูแล้วน่าสนใจเลยตัดสินใจไปที่นี่กัน
เราเดินมองหลายร้านตามลายแทงเว็บที่คนสิงคโปร์รีวิวไว้ จนมาสะดุดที่ร้าน FATBOY’S ร้านเบอร์เกอร์น่าโดน จัดสิครับรออะไร !
เบอร์เกอร์ ร้านนี้จะมีทั้ง หมู,ไก่,เนื้อ มีหลายแบบหลายสไตล์ สามารถเลือกทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ตามเมนูก็ได้เช่นกัน
ราคาต่อชิ้นประมาณ 12-16 SGD ครับในเซ็ตจะมีเฟรนฟราย มาให้ด้วยแล้วแต่ถ้าอยากฟินเพิ่มให้สั่งเพิ่มชีสและเบคอนเพิ่มอีก 3 SGD ร้านนี้อยากให้ลองนะ คืออร่อยมาก ร้านนี้โคตรฟิน ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยมากกกกกก น่าแนะนำ น่ามาโดนจริงๆ
เที่ยวแบบไร้แผนจริงๆ เดินงงๆมาเจอร้านกาแฟที่พี่จุ๊แนะนำไว้ชื่อ Park อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเลย เป็นร้านกาแฟในสวนร้านสวยแจ่มมาก
- กาแฟให้คะแนน 4/5 ยังไม่อร่อยฟินเท่าที่คิดแต่ก็โอเค
- บรรยากาศให้ 5/5 ดีจริงไรจริง ถ่ายรูปกันเพลิน คนมองทั้งร้าน อีพวกนี้มาทำอะไรกัน 😛
. กินอิ่มจนจุกแล้วไป window shopping กันที่ย่านไฮโซ Orchard road กัน ย่านนี้อารมณ์สยามบ้านเราก็จะมีห้างไฮโซๆมีแบรนด์เนมเยอะๆ โดยเราจะเดินเล่นกันเพลินๆตั้งแต่สถานี MRT Orchard ไปจนถึง MRT Somerset นี่คือแผนที่เราวางไว้
. แต่เดินไปสักนิดแล้วรู้สึกว่าทำไมมันยิ่งดูเงียบขึ้นเรื่อยๆฟะ ลองเปิดแผนที่ดูปรากฎว่าผมนำทางผิด!! นี่ไงอยากเที่ยวกับเราใช่ไหม ก็ต้องหลงกับเรา ฮ่าๆๆๆ กลับหลังหันแล้วเดินช็อปผ่านทางสายตากันต่อ ตอนนี้กำลังตบแต่งต้อนรับเทศกาลคริสมาสและปีใหม่พอดีเดินกันเพลินๆ
เดินกันจนถึงห้างดัง 313@Somerset เดินเล่นในห้างเล็กน้อยแล้ว ใต้ห้างนี้มีสถานี MRT พอดีเราเลยกลับครับนั่งไปลงสถานี MRT farrer park
. ที่พักเราอยู่ใกล้สถานี farrer park ที่มีห้างของแขก ชื่อดัง Mutafa ขายของทุกสิ่งอย่างในโลกใบนี้ น้ำหอมและขนมถูก ไปเดินสำรวจช็อปของติดไม้ติดมือกลับไทยมาสักหน่อย … แต่ข้อเสียคือกลิ่นแขก(บางคน) แรงมากกกกกก และของหลายอย่างก็ไม่ได้ถูกนะต้องดูเป็นอย่างๆไป
. เช็คเอ้าท์จากที่พักและลากกระเป๋าไปต่อกันกับภารกิจสุดท้ายของทริปนี้คือ การถ่ายรูปที่ Helix bridge และฝั่งตรงข้าม Marina bay วิธีเดินทางให้นั่ง MRT มาลงที่ Bayfront MRT Station สถานีนี้คือจะโผล่กลางห้าง Marina bay sand เลย
. จากนั้นเดินออกประตูมาทางขวาจะเจอสะพาน Helix bridge สะพานรูปเกลียวที่ใครๆ มาเที่ยวสิงคโปร์ ก็ต้องมาถ่ายรูปด้วยทุกคน เป็นลักษณะการจำลองแบบมาจาก DNA ดูแปลกตาถือว่าไม่ควรพลาดเลยแหละ
ถ่ายรูปบนสะพาน Helix Bridge เสร็จเราก็รีบเดินต่อมาแถวๆ Esplanade รัชดา! เฮ้ยไม่ใช่ มันชื่อเดียวกัน ที่มาตรงนี้เพราะถ้าจะมองย้อนกลับไปทาง Marina bay sand จะเห็นชัดเจนและยิ่งถ้ารอเวลาที่มี wonderful show ก็จะได้เห็นเลเซอร์ชัดๆแบบนี้เป็นเวลา 15 นาทีที่ประทับใจสุดๆเลยครับ
20:15 หลังจบโชว์คือเวลาสุดท้ายที่ควรรีบบึ่งไปสนามบิน เพื่อให้ทันบินกลับ AirAsia ไฟล์ทดึกสุดที่ 22:45 กับความประทับใจในประเทศล้ำๆแบบนี้เพียงแค่ 2 วัน 1 คืนก็เกินพอกับการเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆที่หาไม่ได้แน่ๆถ้าอยู่เมืองไทย ลองเปิดใจให้สิงคโปร์ดู เที่ยวสนุกและไม่แพงเวอร์อย่างที่คิดครับ
โปรเจค “ยินดีที่ไม่รู้จัก” เราชวนคนแปลกหน้า 3 คนไปสิงคโปร์เป็นข้อพิสูจน์ได้ดี
“เพื่อนเดินทาง ไม่จำเป็นต้องชอบเหมือนกัน”
…พวกเรา 4 คนไม่รู้จักกันมาก่อน ….
…คุยไลน์กัน 5 วันก่อนบิน เจอกันครั้งแรกสนามบิน…
…เที่ยวมันยั่งกับรู้จักกันมาสามปี …
.
เป็นไปได้ที่เราอาจเป็นญาติห่างๆ
เพราะเรามียีนส์เหมือนกัน
.
.
ยีนที่ชื่อ “wanderlust” ยีนส์ของนักเดินทาง 🙂
กด Like ไว้อ่านเรื่องเล่าจากการเดินทางมันๆ คลิกด้านล่างนี้เลยครับ
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!