ทริปนี้เป็นการเดินทางด้วยทางบกทั้งหมด เส้นทางเป็นวงกลมผ่าน 3 ประเทศ โดยเริ่มจากไทย ภาคอิสานตรงจังหวัดมุกดาหาร ข้ามไปลาว ภาคกลางที่สะหวันนะเขต และต่อไปยัง เว้ ฮอยอัน ดานัง ซึ่งเป็นภาคกลางของเวียดนามและเป็นไฮไลท์ของการเดินทางครั้งนี้ แล้ววนมาที่ปากเซ ภาคใต้ของลาว และ กลับเข้าไทยตรงจังหวัดอุบลราชธานี ตลอดทั้งทริปเดินทางด้วยรถบัส รถสามล้อ มอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ และรถไฟ ใช้ระยะเวลา 7 วัน กับงบประมาณ 8,000 บาทค่ะ
แผนการเดินทาง…
Day 1 โคราช – สะหวันนะเขต
- จะเดินทางมาด้วยวิธีไหนก็ได้ ให้ถึงท่ารถมุกดาหาร จะมีบัสข้ามไปสะหวันนะเขต ทุกชั่วโมงจนถึง19.00 น.
- มาถึงท่ารถสะหวันนะเขต ให้ซื้อตั๋วไปเว้ของวันพรุ่งนี้เช้าไว้ก่อนเลย
- ค้างคืนที่สะหวันนะเขต มีโฮสเทลบรรยากาศดีๆ ริมโขง
- ตอนกลางคืนถนนคนเดินบริเวณหน้าโบสถ์เซนต์เทเรซ่า มีร้านชิคๆ ให้นั่งชิลเพียบ
Day 2 สะหวันนะเขต – เว้
- ออกเดินทางด้วยรถบัสรอบ 8 โมงเช้า มีคันเดียวนะ ห้ามพลาด!!
- ถึงเว้เย็นๆ ถามแท็กซี่ให้พาไปซื้อตั๋ว ไปฮอยอันของวันพรุ่งนี้ไว้
- เช่ามอเตอร์ไซค์หรือเดินมาเที่ยวกลางคืนย่าน Backpacker ในเมือง มีร้านเก๋ๆ นั่งจิบเบียร์เยอะเลย
Day 3 เว้ – ฮอยอัน
- เช่ามอเตอร์ไซค์หรือซื้อเป็นแพ๊คเกจทัวร์ one day trip เที่ยวในเว้ 1 วัน
- ที่เที่ยวหลักๆ คือ สุสานจักรพรรดิมินห์หมาง สุสานจักรพรรดิไดดิงห์ วัดเทียนมู่ และพระราชวังต้องห้ามเมืองเว้
- เดินทางต่อไปฮอยอัน ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.กว่าๆ
- ถึงฮอยอันเดินเที่ยวกลางคืนย่านเมืองเก่าสวยมากกกกกค่ะ
Day 4 ฮอยฮัน – ดานัง
- เที่ยวฮอยอันย่านเมืองเก่าอีกวัน ชิมกาแฟไข่ ชมพิพิธภัณฑ์ บ้านเก่า สะพานญี่ปุ่น
- ห้ามพลาดอาหารเวียดนามแท้ๆ ราคาไม่แพง ใน Central Market ด้วยนะ
- ตอนเย็นเหมาแท็กซี่ไปดานังอีก 29 กม.
- ถึงดานัง เดินเที่ยวริมแม่น้ำแถวสะพานมังกร
Day 5 บาน่าฮิลล์ ดานัง
- ซื้อทัวร์ one day trip จากโฮสเทล ราคารวมค่ากระเช้าไฟฟ้า สวนสนุก และบุฟเฟต์มื้อเที่ยงแล้ว
- เย็นกลับเข้ามาค้างที่ดานังอีกคืน
Day 6 ดานัง – ปากเซ
- ซื้อตั๋วรถนอน Sleeper bus รอบ 6 โมงเช้าออกจากดานัง ไปปากเซ
- ระยะทางแค่เกือบ 400 กม. จอดแวะทานข้าวมื้อเดียว แต่ใช้เวลาเดินทาง 18 ชม.!!!
- ถึงปากเซเที่ยงคืน เดินหาที่พัก นอนนนนน
Day 7 ปากเซ – อุบล
- จากปากเซมีรถบัสข้ามมาส่งที่ท่ารถในเมืองอุบลค่ะ
- หลังจากนั้นจะกลับรถทัวร์ เครื่องบิน หรือรถไฟฟรีแบบเรา ก็ตามสะดวกเลยนะ
สะหวันนะเขต ประเทศลาว
วันแรกของทริป เราเดินทางมาถึงก็มืดค่ำพอดี หลังจากที่ได้เจอพี่คนไทยที่มาทำธุรกิจในเมืองสะหวันนะเขตตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ได้ความว่ามีถนนคนเดินหน้าโบสถ์เซนต์เทเรซ่า มีร้านให้นั่งชิลๆ กันด้วย หลังจากเก็บกระเป๋าแล้ว ก็เดินมาตามที่พี่เขาบอกไว้ค่ะ
โบสถ์เซนต์เทเรซ่า…เป็นโบสถ์คาทอลิคที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2463 เป็นแลนด์มาร์คสำคัญในโซนประวัติศาสตร์ของสะหวันนะเขตค่ะ
ถนนคนเดิน…
ส้มตำนัวแซ่บมากกกกเด้อ!!!
ร้านสุกสะหวัน…มีเจ้าของเป็นคนไทยค่ะ เป็นร้านนั่งชิล จิบเบียร์ มีดนตรีสดด้วยนะ
วันที่สองของการเดินทาง เริ่มต้นกันที่ท่ารถสะหวันนะเขต กับรถบัสไปเมืองเว้ เวียดนาม รอบ 8 โมงเช้า ที่เราซื้อตั๋วไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน มีแค่เที่ยวเดียวต่อวันนะคะ ห้ามพลาดเลย
นั่งมาได้ประมาณเกือบ 4 ชม. ถึงด่านลาวบาว ต้องลงจากรถบัส มาประทับตราพาสปอร์ตขาออกจากลาว และขาเข้าเวียดนาม แล้วต้องเดินมารอรถบัสคันเดิมบริเวณปั๊มน้ำมันค่ะ แถวนี้ก็จะมีคนมารุมเสนอขายซิมการ์ดมือถือให้เลือกซื้อกันได้
เว้ – ประเทศเวียดนาม
รถบัสจะพาเรามาถึงเมืองเว้ ประเทศเวียดนามในช่วงเย็นค่ะ แล้วให้แท็กซี่พาไปซื้อตั๋วรถไปฮอยอันในวันพรุ่งนี้ไว้ก่อนจะไปส่งที่โฮสเทล ตอนกลางคืนเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เล่นชมเมือง หรือจะไปเดินเล่นกันแถวๆ ที่เรียกว่าย่านแบ๊คแพ๊คเกอร์ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร ผับ นักท่องเที่ยวและวัยรุ่นชาวเวียดนาม คึกคักกันตลอดเส้นทางนี้เลย
เช้าวันที่สามในเมืองเว้ การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองนี้ ถ้ามาคนเดียวหรือต้องการความสะดวกสะบาย ก็ซื้อที่เป็น One Day Trip ราคารวมรถรับส่ง ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ไว้พร้อม ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีค่ะ
แต่ถ้าอยากลองประสบการณ์ใหม่ๆ ขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนชาวเวียดนามท้องถิ่น ก็ดูสนุก วุ่นวายไปอีกแบบนะ อย่างที่รู้กันว่าเวียดนามเป็นประเทศที่ประชากรใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะมากที่สุดในโลก แต่ข้อดีก็คืออยากจะจอดถ่ายรูปตรงไหนก็ได้ สะดวกดีค่ะ
รูปปั้นจักรพรรดิ Quang Trung…เป็นรูปปั้นวีรบุรุษของชาติ ทำจากหินอ่อน สูงถึง 21 เมตรค่ะ จริงๆ เราไม่ได้มีข้อมูลของที่นี่ แต่เพราะขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาเจอ ก็เลยแวะถ่ายรูปกัน
สุสานจักรพรรดิมินห์มาง (Tomb of Minh Mang)…พระเจ้ามิงห์ทางเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 2 ในราชวงศ์เหวียน พระองค์ทรงสร้างนครจักรพรรดิและได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการที่ทรงปฏิรูปขนบธรรมเนียมประเพณีและเกษตรกรรม ทรงยึดมั่นในแบบแผนการบริหาร การปกครองตามแบบจีนค่ะ
ด้านในบริเวณลานกว้าง จะมีรูปสลักหินของเหล่าบรรดาช้าง ม้า ทหาร และขุนนาง ที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ซึ่งเป็นผลงานของช่างฝีมือนิรนามหลายคน ถัดเข้ามาเป็นศิลาจารึกที่ตั้งแท่นบูชาดวงพระวิญญาณ และพระตำหนักด้านในที่แวดล้อมไปด้วยบึงน้ำและสวนร่มรื่น
ด้านหลังสุดของสุสาน จะเป็นหลุมฝังพระศพ เนินดินวงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยรั้วสูง แต่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าตำแหน่งของที่ฝังพระศพที่แน่นอนอยู่ตรงไหน เพราะไม่อนุญาตให้ผู้ใด นอกจากผู้ที่ทำการฝังพระศพเข้าไปและผู้ที่ทำการฝังพระศพนั้นจะต้องฆ่าตัวตายตามพระองค์ด้วยเพื่อเป็นข้าราชบริพารรับใช้พระองค์ในภพหน้า
สุสานของพระเจ้าไคดิงห์…เป็นเพียงสุสานเดียวที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกเข้ากับสถาปัตยกรรมตะวันตก ด้วยทรงเป็นจักรพรรดิในราชวงศ์เหวียนพระองค์เดียวที่ได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส สุสานแห่งนี้สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี โดยใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 11 ปี
ทางเดินขึ้นสุสาน ชั้นสองมีลานที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นหินของช้าง ม้า ข้าราชการทหารและพลเรือน กลางลานมีแผ่นจารึกเขียนด้วยอักษรจีน นิพนธ์โดยพระเจ้าเบ๋าได่ เพื่อรำลึกถึงพระบิดาของพระองค์
ส่วนด้านบนสุดเป็นพระราชวังเทียนดิงห์ ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยการใช้กระเบื้องสีปูพื้นจิตรกรรมฝาผนังภาพมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ที่วาดโดยใช้ศิลปินที่เขียนภาพด้วยเท้า ประดับอยู่บนเพดานกลางห้องโถง ส่วนทางซ้ายและขวาเป็นภาพเฟรสโกอันเต็มไปด้วยสีสันที่ตกแต่งด้วยการฝังกระจกสีและกระเบื้องนับพันชิ้น แสดงถึงเรื่องราวมากมายของสัตว์ ต้นไม้ และดอกไม้
รูปปั้นสำริดขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ ซึ่งสร้างที่ฝรั่งเสศในปี พ.ศ. 2465 ตั้งอยู่บนยกพื้นด้านบนของสุสาน
วัดเทียนมู่…ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำหอม วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดก็คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้าค่ะ
พระราชวังไดโน้ย หรือพระราชวังเว้…เป็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ในราชวงศ์เหงียนทั้ง 13 พระองค์ เป็นเวลายาวนาน 150 ปี ก่อสร้างโดยยึดแบบอย่างและความเชื่อมาจากพระราชวังต้องห้าม ของกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แต่ย่อขนาดมาเล็กกว่า ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 27 ปี มีแนวกำแพงอิฐขนาดใหญ่ 3 ชั้น แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 2 ชั้นแรก โดยกำแพงชั้นนอกสุด มีความยาวตลอดแนวถึง 11 กม. โดยนำอิฐทั้งหมดมาจากฝรั่งเศษโดยทางเรือค่ะ
ที่นี่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2536 ตามหลักเกณฑ์คือเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
พระราชวังได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการบุกยึดของกองทัพฝรั่งเศส ทั้งถูกกระสุนปืนใหญ่ และถูกเผา จนเหลือพระตำหนักที่สำคัญๆเพียงไม่กี่หลัง และยังได้รับความเสียหายต่อเนื่องมาถึงสมัยสงครามเวียดนาม ซึ่งกองทัพสหรัฐเข้าไปกวาดล้างพวกเวียดกง หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ซ่องสุมอยู่ในเขตพระราชวังเก่า จนพระราชวังกลายเป็นสมรภูมิ ต่างฝ่ายก็ใช้กำแพงวังหรือตำหนักต่างๆเป็นเกราะกำบัง และยิงต่อสู้กันจนทำให้ได้รับความเสียหายยับเยิน
ฮอยอัน – ประเทศเวียดนาม
จากเมืองเว้ ขึ้น Sleeper Bus ที่เราซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่เมื่อวาน จะมีคนของเอเจนซี่มารับที่โฮสเทลตามเวลาที่นัดไว้ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาเมืองฮอยอัน เมืองสุดชิค มรดกโลกที่เราจะไปสำรวจกันคืนนี้ค่ะ
บรรยากาศเมืองฮอยอันตอนกลางคืน
ทุกคนต้องไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปกับโคมไฟกระดาษ สัญลักษณ์ของเมืองฮอยอันค่ะ
งานพรีเวดดิ้งก็มา ^^
สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)…สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเมืองฮอยอัน สะพานญี่ปุ่นได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว สะพานนี้เมื่อข้ามไปอีกฟากหนึ่งของเมือง ก็จะเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์ตแกลอรี่ ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนค่ะ
เบียร์สัญชาติเวียดนามแท้ๆ ค่ะ
มีให้บริการล่องเรือด้วยนะ
เช้าวันที่สี่ เรามาตั้งหลักกันที่ร้าน Hoi An Roastery กับอีกหนึ่งภารกิจต้องห้ามพลาดของการมาฮอยอัน คือมาชิมกาแฟไข่ค่ะ
หน้าตาของกาแฟไข่
นอกจากกาแฟไข่แล้ว ยังมีเบเกอร์รี่น่ากินๆ กับเมนูอาหารอีกหลากหลาย เป็นสถานที่ที่เราสามารถมาฝากท้องในตอนเช้า ก่อนออกตะลุยเที่ยวเมืองเก่ากันได้ค่ะ
งานพรีเวดดิ้งอีกแล้ว ^^
บรรยากาศในตอนกลางวันของฮอยอันค่ะ
ศิลปินข้างถนน
ช่วงที่เรามาต้นเดือนธันวา มีฝนตก น้ำปริ่มมาก ท่วมถนนริมแม่น้ำนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการท่องเที่ยวเท่าไรค่ะ
เที่ยงแล้ว ถ้าใครมองหาตลาดที่ขายอาหารท้องถิ่นของเวียดนามแท้ๆ เข้ามาที่นี่กันได้เลยยยย
ด้านในของตลาด เต็มไปด้วยร้านขายอาหารเวียดนามล้วนๆ คนเยอะมากกก
หน้าตาอาหารแต่ล่ะร้านจะเกือบคล้ายกันหมด มีตู้ใส่โชว์อาหารด้านหน้า เก้าอี้และโต๊ะสำหรับนั่งทานอยู่ที่หน้าตู้กระจกนั้นเลย ได้บรรยากาศแบบ Local ไปอีกนะ
ฮอยอันช่วงกลางวัน อาจจะไม่คึกคักมากเท่าตอนกลางคืน ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านเบียร์ และแสงสี แต่เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่จริงๆ ได้เดินชมพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ บ้านโบราณ วัดต่างๆ มากมาย ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกโลกค่ะ
จบจากการเดินเที่ยวฮอยอันมาทั้งวัน เราเหมาแท็กซี่ย้อนขึ้นกลับมาที่เมืองดานัง ที่อยู่ห่างกันประมาณ 29 กม. ซึ่งถ้ามากันหลายคน การใช้บริการแท็กซี่น่าจะคุ้มค่า สะดวก และประหยัดเวลาได้มากกว่าค่ะ หรือถ้ามากันน้อยคน ก็สามารถแจ้งกับทางที่พักอาจจะขอแชร์ค่าแท็กซี่ร่วมกับนักเดินทางคนอื่นๆ ก็เป็นไปได้นะ
ดานัง – ประเทศเวียดนาม
เรามาถึงดานังช่วงเย็น บรรยากาศที่นี่เปลี่ยนไปเป็นเมืองทันสมัย ตึกรามบ้านช่องและแสงสีริมแม่น้ำฮัน ทำให้นึกถึงบรรยากาศของอ่าววิคตอเรีย ที่ฮ่องกงได้เลย
เดินออกมาจากโฮสเทลแค่ไม่กี่สิบเมตร ก็จะเจอกับแม่น้ำฮัน มองไปด้านขวา จะเห็นความอลังการของสะพานมังกรที่เปิดไฟสว่างมองเห็นได้ไกลหลายกิโล เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ กับฉากหลังชิงช้าสวรรค์ที่สวนสนุก Asia Park อยู่ไกลๆ
สะพานมังกร (Dragon Bridge)…คือสะพานข้ามแม่น้ำฮัน มีความยาว 666 เมตร และความกว้าง 37.5 เมตร มีถนน 6 ช่องจราจร ด้วยราคาเกือบ 88 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ สะพานยังถูกออกแบบและสร้างในรูปร่างของมังกรเพื่อที่จะหายใจเป็นเปลวไฟในทุกๆ คืน ที่เวลา 3 ทุ่มตรงด้วยค่ะ
วันที่ห้าของทริป เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเมืองดานัง เพราะเราจะไปเที่ยว Fantasy Park กับชมวิวสวยๆจากกระเช้าไฟฟ้ายาวที่สุดในโลก ที่ Bana Hills กัน ซึ่งสามารถซื้อเป็น One day trip จากโฮสเทลได้เลยค่ะ
บาน่าฮิลล์…ความเป็นที่สุดในโลกของกระเช้าไฟฟ้า (Bà Nà Hills Cable Car) ที่ได้รับการบันทึกสถิติโลกโดยกินเนสส์ เอาไว้ถึง 4 หมวดความเป็นที่สุดตามนี้ค่ะ
1. Longest non-stop single tract cable car กระเช้าไฟฟ้าประเภทไม่มีการหยุดแวะ (แบบเคเบิลเดี่ยว) ระยะทางยาวที่สุดในโลก 5,801 เมตร
2. Highest ascent by a non-stop single-track cable car กระเช้าไฟฟ้าประเภทไม่มีการหยุดแวะ (แบบเคเบิลเดี่ยว) ระยะจากฐานสู่ยอดสูงที่สุดในโลก 1,368 เมตร
3. Longest non-stop cable กระเช้าไฟฟ้าที่สายเคเบิลยาวที่สุดในโลก 11,587 เมตร
4. Heaviest cable roll กระเช้าไฟฟ้าที่สายเคเบิลหนักที่สุดในโลก 141.24 ตัน
นอกจากนั้น Bà Nà Hills Station ยังเป็นสถานีกระเช้าไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Largest departure station in Southeast Asia) ที่มีแหล่งสันทนาการ สวนสนุก รวมทั้งห้องนิทรรศการที่รวบรวมประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมเอาไว้อีกด้วย
Cr.http://www.culturedcreatures.co
แต่สภาพอากาศวันนั้นพังพินาศสุดๆ ไปเลย T_T
ถ้าใครจะมาเที่ยวในโซนดอกไม้ ต้องเสียเงินค่ารถรางเพิ่มจากราคาทัวร์ค่ะ
โรงบ่มไวน์
สวนสนุก Fantasy Park
เราจะเห็นน้ำตกทั้งขาขึ้นและขาลงเลยค่ะ
วันที่หกของการเดินทาง เรารีบมาที่ท่ารถเพื่อซื้อตั๋วรถนอน เดินทางไปยังเมืองปากเซ ประเทศลาว และด้วยเพราะเมื่อวานเรากลับมาซื้อตั๋วไม่ทัน ทำให้วันนี้เราต้องมาแต่เช้าตรู่ เพราะกลัวจะพลาดรถคันนี้ไป
สภาพของรถ Sleeper Bus ไม่ต่างกับที่เราเคยเจอมาแล้วสักเท่าไร ถือว่าอยู่ในสภาพดี นอนสบาย แอร์เย็นฉ่ำมาก แต่ที่ทำให้เราเซอร์ไพส์คือ ครึ่งนึงของรถบรรทุกของเต็มไปหมด ทั้งผลไม้ เสื้อผ้า กล่องใส่ของอีกมากมาย โดยมีผู้โดยสารบนรถแค่ประมาณ 7 คน นอกนั้นคืออัดแน่นไปด้วยของทุกกระเบียดนิ้ว
การเดินทางช่วงนั้น เราสื่อสารได้แค่ว่า รถคันนี้ไปถึงปากเซแน่นอน จากป้ายรถที่อยู่ด้านหน้า แต่เราไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เลยว่ารถคันนี้จะไปถึงปากเซกี่โมง ทั้งที่ระยะทางจากดานังมาปากเซ แค่ประมาณ 400 กม.
6 ชม.แรกผ่านไป เราเริ่มเอะใจ ทำไมจอดแวะรับขนของตลอดทาง จอดทีเป็นชั่วโมง ขนของยัดเข้ามาจนล้นขึ้นไปบนหลังคา พยายามถามกับคนขับรถตลอดว่าจะถึงปากเซกี่โมง ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน
10 ชม.แรกผ่านไปกับการจอดแวะรับขนของและทานข้าว 1 มื้อ ส่วนอีก 8 ชม.หลังจากนั้นคือการเดินทางลัดเลาะภูเขา หมอกหนา ฝนปรอยตลอดทาง และผ่านด่านเข้าประเทศลาว ด้วยความเซอร์ไพส์ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองว่าพวกเรามาทางนี้ได้ยังไง
18 ชม.บนรถ Sleeper Bus จากดานังมาปากเซ เราไม่ขอแนะนำสำหรับคนมีเวลาน้อยรอคอยอะไรไม่ได้ ต้องสายชิลและปล่อยวางทุกอย่างได้เท่านั้น และถ้ามาคนเดียวไม่สมควรใช้เส้นทางนี้ เพราะจะมาถึงปากเซดึกมาก เกือบเที่ยงคืน เมืองก็มืดหมดแล้ว ร้านอาหารก็ปิดหมด ยังเป็นโชคดีของพวกเราที่มาเป็นกลุ่ม และขอร้องให้ร้านอาหารร้านนึงที่ปิดแล้ว เปิดขายอาหารให้และพาไปโรงแรมที่ยังเปิดอยู่ ต้องขอบคุณความมีน้ำใจของคนลาวจริงๆ ค่ะ ^^”
ปากเซ – ประเทศลาว
วันสุดท้ายของทริป ขึ้นสามล้อแบบปากเซสไตล์ ไปส่งที่ท่ารถ กม.ที่ เพื่อขึ้นรถบัสข้ามกลับไทยค่ะ
รถบัสข้ามประเทศ ปากเซ – อุบลราชธานี
มาถึงด่านช่องเม็ก ประทับตราพาสปอร์ตขาออกแล้วก็เดินลอดอุโมงค์กลับฝั่งไทยกันค่ะ รถบัสคันเดิมจะไปจอดรอพร้อมกับเอากระเป๋าเดินทาง ที่อยู่ใต้ท้องรถออกมาวางเรียงไว้ หลังจากที่ผ่าน ตม. ฝั่งไทยเข้าไปแล้ว ก็ต้องเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองมาเข้าเครื่องสแกนให้เรียบร้อยก่อนจะกลับขึ้นรถด้วยนะคะ
แล้วรถบัสคันนี้ก็จะวิ่งไปส่งต่อถึงท่ารถในตัวเมืองอุบลราชธานี หลังจากนี้ก็เลือกวิธีกลับภูมิลำเนาตามสะดวกเลยค่ะ ทั้งรถไฟ รถบัส และเครื่องบิน
ที่พักแนะนำ
สะหวันนะเขต – สะหวันคาเฟ่
เป็นคาเฟ่และโฮสเทลใหม่เอี่ยมแกะกล่อง เจ้าของเดียวกับร้านสุกสะหวันนี่เอง โลเคชั่นติดแม่น้ำโขง มีดาดฟ้านั่งชมวิวราคาแบคแพ๊คเกอร์ ขอแนะนำเลยนะ
ข้อมูลเพิ่มเติม >> https://www.facebook.com/Savan-Cafe-สะหวัน-คาเฟ่-1775095646094357/?ref=nf
ให้คะแนนเต็มทั้งการบริการ โลเคชั่น การตกแต่ง ความสะอาด เป็นโฮสเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมโบราณจามปา ของเวียดนาม มองเห็นวิวแม่น้ำฮัน ได้จากทุกห้องทุกชั้น มีห้องครัวส่วนกลางกับบาร์บนชั้นดาดฟ้า ขึ้นไปนั่งชิลลมเย็นๆ อ่านหนังสือ จิบเบียร์มองเห็นโบสถ์ดานัง สะพานมังกร ตอนกลางคืนสวยมาก
ข้อมูลเพิ่มเติม >> http://memoryhostel.com/vi/ หรือจองที่เวป >> http://www.hostelworld.com/
สรุปค่าใช้จ่าย/คน (เดินทาง 5 คน)
Day 1 โคราช – สะหวันนะเขต
รถทัวร์โคราช-มุกดาหาร 272 บาท
ค่าธรรมเนียมด่านลาว 100 บาท
สามล้อจากท่ารถไปส่งที่พัก 40 บาท
มื้อเย็น+เบียร์+ขนมและน้ำดื่ม 250 บาท
แท็กซี่กลับที่พัก 40 บาท
ซื้อตั๋วรถไปเมืองเว้ 480 บาท
ที่พัก (Mody Guesthouse) 200 บาท
รวม 1,382 บาท
Day 2 สะหวันนะเขต – เว้
สามล้อจากที่พักไปส่งท่ารถ 40 บาท
บั๊กเก็ตมื้อเช้า 7000 กีบ (35 บาท)
ห้องน้ำ 1,000 กีบ (5 บาท)
ค่าด่านเวียดนาม 20,000 ด่อง (30 บาท)
แท็กซี่จากท่ารถเมืองเว้ไปโฮสเทล 200,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 60 บาท)
ค่าน้ำมันเติมมอเตอร์ไซค์ 180,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 55 บาท)
เบียร์ 233,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 70 บาท)
มื้อเย็น 105,000 ด่อง / 2 คน (80 บาท)
ซื้อตั๋วรถ Sleeper Bus จากเว้ไปฮอยอัน 25 usd / 5 คน (คนล่ะ 175 บาท)
ค่าโฮสเทล 25 usd / 5 คน (คนล่ะ 175 บาท)
รวม 725 บาท
Day 3 เว้ – ฮอยอัน
เช่ามอเตอร์ไซค์ 360,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 110 บาท)
ที่จอดรถ 3 ที่ 10000 ด่อง / 2 คน (คนล่ะ 8 บาท)
ค่าเข้าชม 3 ที่ 350000 ด่อง (532 บาท)
อาหาร + เบียร์ 675000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 205 บาท)
ค่าโฮสเทล 36 usd / 5 (คนล่ะ 252 บาท)
รวม 1107 บาท
Day 4 ฮอยอัน – ดานัง
กาแฟไข่+มื้อเช้า ร้าน Hoi An Roastery 540,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 165 บาท)
เครื่องดื่ม 30,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 10 บาท)
มื้อเที่ยงในตลาด 140,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 43 บาท)
ขนุน 30,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 10 บาท)
แท็กซี่จากฮอยอันไปดานัง 25 usd / 5 คน (คนล่ะ 175 บาท)
รวม 806 บาท
Day 5 บาน่าฮิลล์ ดานัง
One day trip บาน่าฮิลล์ 95,000 ด่อง (1,444 บาท) รวมมื้อเที่ยง
ค่ากระเช้า 16 usd / 5 คน (คนล่ะ 112 บาท)
มื้อเย็น 80,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 120 บาท)
ค่าโฮลเทล (2 คืน) 420 บาท
รวม 2,096 บาท
Day 6 ดานัง – ปากเซ
แท็กซี่จากโฮสเทลไปท่ารถดานัง 120,000 ด่อง / 5 คน (คนล่ะ 36 บาท)
ค่ารถ Sleeper Bus จากดานัง ไปปากเซ 645,000 ด่อง (980 บาท)
ค่าผ่านด่านเข้าลาว 50,000 ด่อง (76 บาท)
ค่าสามล้อจากท่ารถปากเซเข้าเมือง 9,000 กีบ / 5 คน (คนล่ะ 36 บาท)
มื้อเย็น 500 บาท / 5 คน (คนล่ะ 100 บาท)
ค่าโรงแรม 1,350 บาท / 5 คน (คนล่ะ 270 บาท)
รวม 1,498 บาท
Day 7 ปากเซ – โคราช
ค่าสามล้อจากโรงแรมไปท่ารถปากเซ 50 บาท
ค่ารถบัสจากปากเซไปอุบล 200 บาท
ค่าสามล้อจากท่ารถอุบลไปสถานีรถไฟอุบล 180 / 5 (คนล่ะ 36 บาท)
ค่ารถไฟกลับโคราชหรือ กทม. ฟรี
รวม 286 บาท
รวม 7 วัน 7,900 บาท
Tips…
- ตอนนี้มีบริการบินตรงไปกลับดานังแล้วค่ะ ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์และแอร์เอเชีย เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกและประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย
- รถบัสระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่จะมีแค่เที่ยวเดียวต่อวัน ควรจะซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าก่อนสักวันที่ไปถึง แล้วก็อย่าตื่นสายหล่ะ ^^
- แผนการเดินทางด้วยรถบัส เหมาะสำหรับคนที่มีเวลา ไม่รีบร้อนชะโงกทัวร์ เพราะ 7 วันของทริปนี้ เราใช้เวลาเดินทางอยู่บนรถรวมแล้ว 4 วันเต็ม ได้เที่ยวจริงๆ แค่ 3 วัน แต่ก็ได้สัมผัสกับคนท้องถิ่น บรรยากาศภูเขา แม่น้ำ รถบัสข้ามประเทศที่อัดแน่นไปด้วยสินค้าต่างๆ หรือแม้แต่เสียงร้องของสัตว์หลายชนิดที่ขนกันมาอยู่ใต้ท้องรถ ถือเป็นประสบการณ์ให้ชีวิตค่ะ ^^”
ติดตามข้อมูล รีวิวการเดินทาง พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่…
Fanpage : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/
Instagram : https://www.instagram.com/my_travelholic_diary/
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!