. สวัสดีครับพี่น้อง รีวิวญี่ปุ่นกันอีกรอบแล้วนะ รอบนี้ไปภูมิภาคคันไซครับช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิ ( ปลายเดือน กพ. ) บางส่วนก็ยังได้สัมผัสหิมะ บางส่วนก็เริ่มเห็นดอกไม้บางต้นเริ่มบานลางๆแล้วล่ะครับ ทริปนี้ผมใช้แพ๊กเกจ Osaka Free & Easy จาก Royal Orchid Holiday (ทัวร์ของการบินไทย) ที่รวม บัตรโดยสารไป–กลับชั้นประหยัด เส้นทางกรุงเทพฯ – โอซาก้า และที่พักตลอด 5 วัน 4 คืน
สรุปแผนเที่ยว 5 วัน 4 คืน
Day 0 : Bangkok -> Osaka
Day 1 : Nara – Kyoto
Day 2 : North Kyoto
Day 3 : Osaka
Day 4 : Wakayama
Day 5 : Osaka -> Bangkok
โดยที่พักจะเป็นโรงแรม Karaksa Hotel ทั้งสาขาโอซาก้า(ชินไซบาชิ) และเกียวโต วาร์ปที่พักของเราในทริปนี้ครับ คลิกจองตามนี้ได้เลยจ้าาาาาาา
Kyoto
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน booking.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน agoda.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน expedia.com >>> Click <<<
Osaka
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน booking.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน agoda.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน expedia.com >>> Click <<<
DAY 0
เริ่มต้นวันที่ 0 ที่สนามบินสุวรรณภูมิโดยเที่ยวบิน TG622 จะออกเดินทางเวลา 5ทุ่มครึ่ง นอนหลับบนเครื่องบินยาวไปเลยแล้วไปถึงที่สนามบินคันไซ เมืองโอซาก้าตอน 6:25 ประหยัดค่าโรงแรมไป 1 คืนแล้วเริ่มเที่ยวได้เลย
ลงจากสนามบินคันไซพวกเราจะไปเที่ยวเมืองข้างเคียงกันก่อนคือเมือง “นารา” และจะไปให้ลึกกว่าคนทั่วไปเราจะไปเดิน ย่านนารามาชิ – Naramachi
ย่านนารามาชิ คือพื้นที่แถบใจกลางเมือง Nara ที่ยังคงอนุรักษ์บรรยากาศเก่าๆ เอาไว้ให้สัมผัส เต็มไปด้วยบ้านเรือนและร้านค้าที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเล่น จับจ่ายซื้อสินค้า รับประทานอาหารและของหวาน หรือทดลองทำกิจกรรมต่างๆ เข่น การสวมใส่ชุด Kimono การชงชา การชิมเหล้าญึ่ปุ่นชื่อดังประจำท้องถิ่น เป็นต้น
การเดินทาง :: เดิน 10-15 นาที จาก Kintetsu Nara Station
หน้าบ้านแต่ละบ้านมักจะแขวนตุ๊กตาลิงห้อยต่อๆกันนี้เอาไว้ เป็นเครื่องรางเพื่อเอาไว้รับเคราะห์แทนคนในบ้าน ทำให้คนในบ้านโชคดีอะไรทำนองนี้
ย่านนี้ค่อนข้างเพลินครับ ระหว่างทางแต่ละบ้านก็จะมีปลูกดอกบ๊วยบ้างก็เริ่มบานบ้างแล้วนะบางต้น
ปิดท้ายด้วยการเข้าชิมสาเกเก่าแก่ที่ร้าน “Harushika brewery” ค่าเข้าชมฟรีครับแต่ถ้าจะชิมสาเกก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่แพงแค่ 500 เยนเท่านั้น เราจะได้แก้ว 1 ใบและสามารถชิมสาเกได้ 5 แบบ แก้วละนิดหน่อยแต่ก็ทำเอามึนเลย ขอบอก
ไปต่อที่วัดดังเมืองนารา วัดโคฟุคุจิ – Kofukuji Temple วัดนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงน่าจะที่สุดของเมืองนี้เลยครับ บริเวณส่วนใหญ่ของวัดโคฟุคุจินั้นสามารถเข้าชมได้ฟรี มีเฉพาะ Kofukuji’s National Treasure Museum และ Eastern Golden Hall เท่านั้นที่ต้องเสียเงินเข้าชม และที่สำคัญติดกับ Nara park ดังนั้นจะได้เจอน้องกวางมากมายเดินเต็มไปหมดเลย
การเดินทาง
- เดิน 5 นาที จาก Kintetsu Nara Station (เดินทะลุจาก Naramachi มาก็เจอเลย)
- เดิน 20 นาที JR Nara Station
เที่ยงแล้วไปเดินเล่นย่านช็อปปิ้งหาข้างทานกันที่ Higashimuki Shopping Street เดินต่อจากวัดย้อนกลับไปแถวๆสถานีรถไฟหน่ะครับเดินไม่ไกล ระหว่างทางมีของกิน ของช็อปเยอะมากมาย อยากแวะร้านไหนก็ตามสบายเลยจ้า
และนี่คือเป้าหมายของเราในวันนี้ ร้าน Ganko ร้านทงคัตสึสุดอร่อยชื่อดังย่านนี้ ต่อแถวนานใช้ได้แต่มาแล้วก็รอ รอวนไปค่ะ
ด้วยอารมณ์หิว สั่งชุดใหญ่ไฟกระพริบมาเลย หมูบวกกุ้ง เซ็ตนี้น่าจะแถวๆ 1000 เยนนะ รีวิวเลยแล้วกัน!! สำหรับผมว่าเฉยๆอะเราอาจจะคาดหวังมากไปมั้ง มันก็อร่อยแหละ อร่อยบ้านๆ ไม่ได้อร่อยระดับต้องมากินที่นี่ร้านนี้เท่านั้นไรงี้ ให้คะแนน 3.5/5 แล้วกัน
จากนารานั่งรถไฟกลับไปที่เกียวโตครับ เราจะเข้าที่พักกันไวหน่อยเมื่อคืนนอนบนเครื่องมันบินสั้นอะนะแค่ 4 ชั่วโมงครึ่งยังไม่ทันได้หลับลึกก็ถึงแล้ว
นั่งรถไฟต่อใต้ดินมาถึงโรงแรมเราแล้วครับ Karaksa Hotel Kyoto I ทำเลดีมากอยู่ตรงข้ามสถานีใต้ดินเลยแค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว (โรงแรมนี้อยู่ในแพ็กเกจ) เดียวเราไปสำรวจห้องกันดีกว่าครับ
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน booking.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน agoda.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน expedia.com >>> Click <<<
ห้องดีมากๆเทียบกับราคาแพ็กเกจที่ซื้อมา เทียบกับมาตรฐานห้องแคบๆของญี่ปุ่น ห้องนี้กว้างใช้ได้เลยครับ เครื่องนอนก็ดี ห้องใหม่ สะอาด ให้คะแนนเต็มไปเลย
เก็บของแล้วออกไปเดินเที่ยวแถวโรงแรมกันครับ มีสถานที่น่าสนใจอีกสองสามแห่ง เราจะไปกันที่ Mibudera – วัดมิบุเดระ วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่มากครับถูกค้นพบในปี 991โดยพระวัดมิอิเดระชื่อ Kaiken เคยถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี 1257 และบูรณกลับมาเป็นวัดที่สวยงามอีกครั้ง
ค่ำนี้ไปทานอาหารกันที่ร้าน …. Sakura Suisan พิกัดหันหน้าเข้าโรงแรมเดินไปทางขวาครับ เดินเลยร้านไดโซ๊ะไปไม่ไกลนักอยู่ติดกับ Family mart ให้ดูป้ายนะ
เว็บไซต์ >> http://www.sakusui.jp/
ร้านนี้เป็นร้านสไตล์ที่คนญี่ปุ่นมากินข้าวหลังเลิกงาน สังสรรค์ตอนกลางคืน ดื่มเบียร์ทานอาหารไรงี้ ราคาไม่แพงจานหนึ่งแบบ 3-500 เยนเอง จริงๆสั่งเยอะมากแต่ทีอยากแนะนำก็พวกปลาดิบ สดใช้ได้ราคาโอเค / นาเบะ หรือหม้อไฟอันนี้อร่อยดีงามมาก / ปลาไหลเสียบไม้ย่าง ดีงามเช่นกัน
และปิดท้ายด้วยของหวาน ไอศครีมชีสเค๊ก อร่อยมากกกกตรงเนื้อผสมเม็ดแมคคาเดเมียด้วยฟินเว่อร์
Day 2 :: Unseen kyoto
วันนี่เราจะไม่ไปเกียวโตแบบบ้านๆเราจะไปอะไรที่มันอันซีนนั่นคือ จุดชมวิวอะมะโนะฮะชิดะเตะ (Amanohashidate) และอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนอย่าง หมู่บ้านชาวประมงเมืองอิเนะ (Ine) ทั้งสองสถานที่อยู่ทางตอนเหนือตอนเกียวโตครับ เดินทางไกลหน่อยแต่ถ้าใครชอบวิวอลังการ วิวเทพๆแบบผมรับรองว่าคุ้ม
ข้อมูลการเดินทาง :: สามารถใช้ Amanohashidate Marugoto Free Pass ในการเดินทางเที่ยวได้ (ใช้ได้ 1 วัน ราคา 3,090 เยน)
เมื่อมาถึง ศาลเจ้าโมโตะอิเซะ โคโนะ (Motoise-Kono Shrine) ได้แล้วให้เดินทะลุศาลเจ้าไปครับจะผ่านถนนช็อปปิ้งและจะเจอทางขึ้นกระเช้าเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปบนจุดชมวิวที่ สวนคาซะมัตสุ (Kasamatsu Park)
กระเช้าและเคเบิลคาร์ขึ้นสู่จุดชมวิว Kasamatsu Park
เวลาทำการ: 8:00- 17.30 น. (เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม) ปิดเร็วขึ้นในเดือนอื่น
วันหยุด: เปิดทำการตลอดทั้งปี
ค่าโดยสารกระเช้า: [ผู้ใหญ่] ไป–กลับ 660 เยน เที่ยวเดียว 330 เยน / [เด็ก] ไป–กลับ 330 เยน เที่ยวเดียว 170 เยน
จุดชมวิว Kasamatsu Park
ค่าเข้าชม: 640 เยน (เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิด 30 นาที 500 เยน) หากซื้อตั๋วรถบัสไปกลับด้วย ลดเหลือ 400 เยน)
เวลาเปิด–ปิด: 9:00 – 16:00 น. (กระเช้า) / 8:00 – 17:30 น. (เคเบิ้ลคาร์)
วันปิดทำการ: เคเบิ้ลคาร์: เปิดทุกวัน ส่วนกระเช้า: ปิดทำการเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ): http://www.amanohashidate.jp/lang/en/
นั่งเพลินๆชมวิวแค่ 5 นาทีก็ถึงจุดชมวิวแล้วครับ ขึ้นมาจะเจอ space ประมาณนี้ ทางด้านขวามีพื้นใสให้ไปยืนถ่ายรูปเกร๋ๆด้วย
พื้นใส !! แต่ไม่น่ากลัวแฮะ
Amanohashidate ขึ้นชื่อว่าจุดชมวิวทะเลที่สวยเป็น 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นเลยนะครับ !!
ลงจากกระเช้าแล้วเดินย้อนกลับผ่านร้านค้า ทดลองชิมเมนูพิเศษเซทปลาบุริ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่มีชื่อเสียงของเมืองเกียวโต ที่ร้าน Tsuruya Shokudo สามารถหาทานได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ถ้าได้ลองชิมปลาบุริคุณจะลืมรสชาติของปลาบุ
หมู่บ้านชาวประมงแห่งเมืองอิเนะ (Ine) ตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวอิเนะ ที่นี่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีจึงคงสภาพของเดิมไว้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ – Ine Cho หมู่บ้านชาวประมงอนุรักษ์ที
เมืองไม่ใหญ่มากนักครับสามารถเดินเท้าเที่ยวได้ทั่วเลย
Day 3 : Kyoto – Osaka
ผมตื่นแต่เช้าไปเที่ยวป่าไผ่ Arashiyama เหตุผลที่เราไปแต่เช้าก็เพราะเราอยากได้รูปที่ไม่มีคนหน่ะครับ วิธีการเดินทางจากโรงแรมง่ายมากๆเดินจากโรงแรมมาที่สถานี Shijo-Omiya Station นั่งจนสุดสายเลยถึงสถานี Arashiyama จากนั้นเดินต่อไปอีกสัก 500 เมตรก็จะถึงป่าไผ่ คิดถูกมากๆที่มาตั้งแต่เช้ารถไฟเที่ยวแรก มีคนน้อยจนแทบไม่มีเลยล่ะ
กลับสู่โหมดปกติเราไปชิมเบียร์กันที่โรงงาน Suntory ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1899 เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตเครื่องดื่มนาๆชนิดที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นเลยครับ สามารถเข้าชมได้ฟรี ชิมเบียร์ฟรีด้วยนะ ดีงามไปอีก ดูวิธีการเดินทางไปและจองล่วงหน้าได้ที่ >> http://www.suntory.com/factory/yamazaki/access/
สมกับเป็นญี่ปุ่นครับ เค้าแทบไม่ได้ใช้คนในกระบวนการผลิตเลยล่ะ เครื่องจักรล้วนๆ มีคนแค่ทดสอบและควบคุมคุณภาพเท่านั้นเอง
พอทัวร์เสร็จก็จะเป็นการชิมเบียร์ครับ มีให้ชิม 3 แก้วพร้อมขนมเป็นกับแกล้ม ฮ่าๆๆผมไม่ใช่สาวกเบียร์แค่จิบๆไปอย่างละหน่อย
ไปต่อที่ Nagaoka Tenman-gu Shrine ศาลเจ้าที่มีดอกไม้ที่สวยสุดๆ
ช่วงปลายเดือนมีนาของทุกปีจ
วิธีการเดินทาง :: นั่งรถไฟสาย Hankyu Railway ลงสถานี Nagaoka-Tenjin station และเดินมา 10 นาที
ด้วยความร่มรื่นของสวน ผมได้เจอนกสีสวยมากระโดดโลดเต้นตามซอกไม้ด้วยครับ น่ารักมากเลย
โรงกำจัดขยะสุดล้ำ – Maishima Incineration Plant
หลายคนที่คิดจะไป Universal ในเมือง Osaka หลงมาที่โรงกำจัดขยะสุดแห่ง
ถ้าจะศึกษาข้างในต้องจองก่อนเท่านั้น ใช้เวลาศึกษาประมาณ 90 นาที อ่านเพิ่ม >> https://goo.gl/tCF2cp
ขยะต่างๆที่ถูกคัดแยกแล้วจะเข้ากระบวนการกำจัดตามแต่ที่มันควรจะเป็น ถ้าพวกเผาได้ก็จะเผา ถ้าเอากลับมาใช้ใหม่ได้ก็จะกำจัดอีกแบบครับ
ไปต่อ ย่านโดทงโบริ – ชินไซบาชิ ย่านช็อปปิ้งที่ดังและฮิตที่สุดของเมือง Osaka ทั้งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงเยอะแยะมากมาย เรียกได้ว่ามาเดินสัก 3 วันก็ยังเข้าไม่ครบทุกร้านเลยครับ วิธีการเที่ยวย่านนี้ให้สนุกก็ไม่ต้องคิดมาก เดินๆไปเถอะชอบร้านไหนก็แวะ หิวเมื่อไหรก็กินแค่นั้น
ริมคลองโดทงโบริ ก็ยังมีคนชูมือสัญลักษณ์ของกูลิโก๊ะเหมือนเดิมครับ มาถ่ายรูปอวดเพื่อนกันได้
และที่พลาดไม่ได้คือ “ทาโก๊ะยากิ” อาหารชื่อดังของเมืองนี้ครับ อร่อยกว่าที่อื่นๆโดยเฉพาะทาโก๊ะในไทยเยอะมากกกกกกกก อยากให้ชิมกันนะครับ
กินจนเหนื่อย ช้อปจนเพลียแล้วกลับห้องกันครับ เราเข้าพักที่ karaksa hotel Osaka Shinsaibashi I ที่รวมในแพกเกจ Osaka Free & Easy เช่นเคยครับห้องก็คล้ายๆที่เกียวโต ยังน่านอน ห้องกว้างไม่อึดอัด สะอาด สะดวกเช่นเคย แต่ห้องที่สาขานี้จะเล็กกว่าที่เกียวโตเล็กน้อยครับ
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน booking.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน agoda.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน expedia.com >>> Click <<<
Day4 : Wakayama
วันนี้เราออกไปเที่ยวเมืองรอบข้างอีกแล้วที่เมือง Wakayama เราจะไปนั่งรถไฟที่มีแมวเป็นนายสถานี และเก็บสตรอว์เบอร์รี่สดๆกันที่สวนกัน
โดยเราจะเริ่มที่สถานี Idakiso station และนั่งรถไฟไปจบที่สถานี Kishi station เพื่อเจอกัน “นิทามะ” สาวกคนรักแมวต้องกรี้ดแตก เพราะสถานีมีนายสถานีเป็นแม
ดูตารางสถานีที่แมวอยู่ได้ที่ >> http://www.wakayama-dentetsu.co.jp/en/
เจอแล้วเจ้า นิทามะ แมวตัวอ้วนขนฟู นางก็นอนบ้าง ยืนบ้างตามประสาแมวเซเลป น้องจะนั่งอยู่ในห้องกระจกนะเราจับไม่ได้ แต่ถ่ายรูปได้โดยห้ามใช้แฟลชนะครับ
ยืนแล้วๆๆ เห็นที่คอไม๊เขียนว่า “station master” โห๊ะๆๆๆ
ที่สถานีก็มี Cafe’ ด้วยนะครับก็มีกิมมิคเช่นเคยเป็นแก้วลายแมว โฟล์ทหูแมวอะไรงี้ ของที่ระลึกก็มีให้เสียตังเพียบจ้า
จากสถานีน้องแมว เรานั่งย้อนกลับมานิดหนึ่งลงสถานี Kanrojimae แล้วเดินมาที่สวนชื่อ Sakura farm 10 นาทีครับ สวนนี้เป็นสวน local พอสมควรและต้องจองล่วงหน้าก่อนเท่านั้น จองผ่านโทรศัพท์เท่านั้นอีกผมแนะนำให้ส่ง email ไปหาโรงแรมที่เราจะพักให้เค้าโทรจองให้ครับเพราะเจ้าของก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเช่นกัน >.<
เบอร์โทร 0736649147
พิกัด google map : https://goo.gl/g4Fb7F
ค่าใช้จ่าย : 2,000 เยนต่อคน 45 นาทีทานเท่าไหรก็ได้
ระยะเวลาเก็บ : ต้น กพ. – กลาง เมษา ของทุกปี
สวนแบบ organic เลยครับไม่ต้องกลัวเรื่องสารพิษเด็ดกินจากต้นได้เลย
ลูกใหญ่มากๆๆ อร่อยมากๆๆ กินจนจุกเลย
กลับจาก Wakayama ชิวก็ไปเที่ยวย่านชินไซบาชิเหมือนเดิมครับ อยู่ไม่ไกลโรงแรมนักเดินกินเที่ยวช็อปยาวๆไป
Day5 :: กลับกรุงเทพ
วันสุดท้ายแพลนว่าจะตื่นไปเดินเล่นต่อ เมื่อคืนเที่ยวดึกไปหน่อย……สรุปว่าตื่นสิบโมง !! โปรกงโปรแกรมพังสลายไปกับฝันเมื่อคืน เก็บของเช็กเอ้าท์จากโรงแรมแล้วไปแวะ workshop ทำซูชิน่ารักๆ ที่เค้าเตรียมให้ทุกสิ่งแค่เอามาประกอบกัน พอประกอบเสร็จก็กินฝีมือตัวเองนี่แหละครับก่อนไปสนามบิน กลับไทยจ้าาาา
ทริปนี้สนุกมาก จริงๆชิวเคยมาเที่ยวแถบคันไซแล้วนะ แต่รอบที่แล้วก็เก็บพวกทั่วๆไปพวก landmark สำคัญๆดังๆเช่น วัดน้ำใส วัดทอง อะไรพวกเนี้ย รอบนี้ได้แพ๊กเกจ Osaka Free & Easy ตั๋วเครื่องบินรวมที่พักตลอด 5 วัน 4 คืนในราคาไม่แพงก็เลยได้โอกาสกลับมาอีกครั้ง ผมก็หวังว่าเพื่อนๆจะได้ไอเดียเที่ยวคันไซมากขึ้นนะ ลองเอาแต่ละที่ไปปักหมุดใน google map วางแผนดูครับว่าเราไปได้มากน้อยแค่ไหนเน้อะ 🙂
สำหรับวาร์ปที่พักของเราในทริปนี้ครับ คลิกจองตามนี้ได้เลยจ้าาาาาาา
Kyoto
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน booking.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน agoda.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa Hotel Kyoto I ในราคาดีที่สุดผ่าน expedia.com >>> Click <<<
Osaka
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน booking.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน agoda.com >>> Click <<<
จองที่พัก Karaksa hotel Osaka Shinsaibashi ในราคาดีที่สุดผ่าน expedia.com >>> Click <<<
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!