. สวัสดีครับทริปนี้ผมจะพาไปหาดสวรรค์ของนักเล่นเซิร์ฟ อุ้มน้องหมีโคอาล่า ป้อนอาหารจิ้งโจ รวมทั้งเล่นกีฬา extreme อีกหลายอย่าง และครั้งนี้ถือว่าเป็นการไปประเทศออสเตรเลียครั้งแรกของผมอีกด้วย ตามมาเลย
Day1 : Bangkok – Brisbane
. เราออกเดินทางด้วยสายการบินไทยด้วยเครื่องบิน Boeing B787- 8 หรือมีชื่อเท่ๆที่รู้จักกว่า Dreamliner จากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่กรุง Brisbane ประเทศออสเตรเรีย หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อเมือง Brisbane มากนักเพราะถ้าพูดถึงออสเตเรียก็คงคิดถึง Sydney , Melbourne ใช่ไหมครับแต่ถ้าพูดถึง รัฐ Queen Land คงพอคุ้นๆกันบ้างเอาเป็นว่า Brisbane เป็นเมืองหลักของรัฐ Queen land ครับ
. ภายในเครื่องบิน Boeing B787- 8 ที่การบินไทยใช้ในการบินไป Brisbane มีการจัดเรียงที่นั่งแบบ 3-3-3 และทุกที่นั่งมีจอส่วนตัวสำหรับความบันเทิงบนเครื่องบิน
. ส่วนวันนี้ผมโชคดีครับ เป็นอีกครั้งที่ผมได้มีโอกาสได้นั่ง Business class ซึ่งการให้บริการและอาหาร รวมทั้งสะดวก สบายในการพักผ่อน ก็สมชื่อการบินไทย
. บินตรงสู่บริสเบนใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง โดยไฟล์ทบินจะเที่ยงคืนและจะมาถึงประมาณ 11 โมงนิดๆที่เมือง Brisbane ประเทศ Australia ซึ่งเวลาที่ออสฯจะไวกว่าไทย 3 ชั่วโมง ( GMT+10 ) ดูตารางบินเพิ่มเติม : www.thaiairways.com
. สนามบิน Brisbane อยู่ไม่ไกลนัก จากสนามบินใช้เวลาเข้าเมืองเพียงประมาณ 30 นาที วันแรกเราจะไปเก็บ Landmark ในตัวเมือง Brisbane เท่าที่ได้เพราะเราจะไปค้างที่ Gold coast เมืองที่อยู่ห่างไปประมาณ 80 กิโลเมตร สถานที่แรกคือ China town เราจะไปแวะทานข้าวกันครับ chinatown กลางเมืองนี้มีขนาดเล็กมากๆเป็นเพียงแค่ถนนเส้นเดียวเท่านั้นเอง ผมรู้สึกว่าคล้าย china town ที่สิงคโปร์
. เรานั่งรถผ่าน Story bridge สะพานเหล็กข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่เพื่อข้ามไปยัง Kangaroo point จุดชมวิวชื่อดัง ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงต้นๆของบริสเบน โดยแต่ก่อนตรงจุดนี้จะเป็นจุดที่จะสามารถมาดูจิงโจ้มากมาย แต่ตอนนี้พอเมืองขยายเข้าจิ้งโจ้ก็ไม่มีแล้วหล่ะ แต่ก็ยังเป็นจุดชมวิวเมืองที่ไม่ควรพลาดอยู่ดี
พอดูจบขึ้นรถลุงคนขับก็โม้ บอกว่า
” อยากชม story bridge สวยๆไหม “
” ผมรับร้องว่าทุกนจะต้องร้องว้าว !! “
แน่นอนว่าผมตอบรับอย่างไม่ต้องคิด ลุงก็ขับรถย้อนกลับไปและไปจอดแถวๆถนน Queen street ชี้ไปที่ซอยนั้นให้เราเดินไป
ตรงที่ติดกับน้ำจะมีทางเดินเลียบคลอง ตรงนี้แหละครับถ้าเรามองย้อนกลับไปที่ Story bridge ก็จะเห็นสะพานทั้งเส้น
. เราสามารถเดินเลียบคลองไปได้เรื่อยๆก็จะเป็นทางเลียบถนน Queen street ไปจนถึงถนนช็อปปิ้งได้เช่นกัน แต่วันนี้เราจะไปต่อตรงจุดที่เรียกว่า South Bank ครับ ตรงนี้เป็นจุดที่ผมชอบที่สุดใน Brisbane เลย
. จุดสังเกตง่ายๆพอข้ามสะพาน Victoria Bridge แล้วจะเห็นชิงช้าสวรรค์สีขาวขนาดใหญ่ นั่นแหละว่ามาถูกที่แล้วหล่ะครับ จากชิงช้าสวรรค์ให้เดินไปทางขวาก่อน โดยจะเดินตามทางเดิน หรือ จะไปเดินเลียบคลองก็ได้ไปได้เหมือนกัน ตรงนี้เป็นสวนสาธารณะริมคลองขนาดใหญ่ เดินไปเรื่อยๆเพลินและชิลมากครับ
. เดินมาสักพักประมาณ 10 นาทีจะเจอ Streets beach หาดจำลองในสวนสาธารณะ !! เป็นหาดจำลองที่ทำได้ดีมากครับ ทำดีจนผมทึ่งไปเลย และคนเค้าก็มาใช้ชีวิตเหมือนอยู่ริมหาดจริงๆด้วยนะ มีอาบแดด มีเล่นน้ำ เล่นบอลชายหาดจริงจังมาก
. ถัดกับหาดจำลองก็จะมีสระว่ายน้ำธรรมดาด้วยครับติดกัน แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างสุดๆฝั่งนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าทางฝั่งบีช ผมใช้เวลาเดินเล่น นั่งชิวอยู่แถวนี้ได้สักพักก็เดินกลับ รอบขากลับผมเลือกจะกลับด้วยทางเดินริมคลองแทนก็ได้บรรยากาศที่แปลกไปครับ
. พอเดินกลับมาถึงตรงชิงช้าสวรรค์แล้วยังพอมีเวลาก็เลยเดินไปทางซ้ายเจอป้าย Brisbane ขนาดใหญ่เลย มีคนปีนขึ้นไปถ่ายรูปกันด้วย บรรยากาศที่ South Bank นี่ดีมากจนถือว่าเป็นที่ห้ามพลาดถ้ามา Brisbane เลยนะครับ
. จากนั้นเราก็นั่งรถยิงยาวจาก Brisbane ไป Gold coast กันโดยปรกติแล้วถ้าไม่ได้เช่ารถขับก็จะใช้การนั่งรถไฟเอาครับ ใช้ระยะเวลาเพียง 90 นาที เรามาถึง Gold coast ประมาณ 6 โมงเย็นแต่ฟ้าที่นี่ก็มืดแล้วครับช่วงเดือน พค. พระอาทิตย์ตกตั้งแต่ 5 โมงเย็นโน้นแหละ
. 2 คืนที่ Gold coast เราจะพักกันที่ตึก Q1 ตึกที่สูงที่สุดของเมือง Gold coast ครับพอเช็คอินแล้ว ก็ไปทำกิจกรรมที่ห้ามพลาดเลยคือการขึ้น Observation deck ไปชมวิวมุมสูงของ Gold coast ที่ชั้น 74 ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่คนละ 24 $ AUS
Site : https://www.skypoint.com.au/
. เมื่อขึ้นมาชั้นบนสุดจะได้เห็นวิวสวยๆแนะนำว่าควรมาตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์และอยู่จนแสงไฟในเมืองเปิดขึ้นมาครับ แต่น่าเสียดายนิดๆที่กระจกที่นี่สะท้อนเงาด้านหลังเยอะมาก ทำให้ผมไม่สามารถเก็บภาพได้แบบที่ตาผมเห็น แต่แค่มองด้วยตาก็เกินพอแล้วครับถ้ามา Gold coast ห้ามพลาดจริงๆ
. เราเดินจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่ใจกลางถนนสายหลักของ gold coast จริงๆแถวนี้เค้าเรียกกันว่า surfer paradise สองข้างทางเป็นร้านค้ามากมาย ค่อนข้างคึกคักเลยหล่ะ ถ้าให้เทียบก็คงน่าจะเทียบได้อารมณ์ประมาณริมหาดป่าตองอะไรทำนองนั้น เป็นเมืองชายหาดนักท่องเที่ยวเยอะๆ (แต่เป็นระเบียบและสะอาดกว่ามาก)
. เดินเล่นสักพักได้เวลาคืนนี่เราทานข้าวกันที่ Hard rock café ผมทานเป็นชุดเสต๊กเนื้อ 300g รสชาติที่ปรุงมาอร่อยเลยหล่ะ แต่ว่าเนื้อทำสุกเกินไป (over cook) ผมสั่ง medium แต่ได้มาประมาณ Well เนื้อเลยเหนียวไปหน่อย หลังจากทานอิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นชิวๆแถวๆนี้เล็กน้อย ใครอยากคึกคักก็หาบาร์ดื่มเล็กๆน้อยๆ ก่อนกลับห้องก็เป็นทางเลือกที่ดี
Day2 : Gold Coast
. วันนี้โปรแกรมเราจะเริ่มด้วยการไปสวนสัตว์ Currumbin Sanctury เป้าหมายสำหรับชาวไทยที่มาออสคงไม่พ้นการได้เจอ หมีโคอาล่า กับ จิงโจ้ ใช่ครับผมก็เช่นกัน สำหรับค่าเข้าอยู่ที่ 49$ สามารถอยู่ได้ทั้งวันและแนะนำว่าควรมาทั้งวันให้คุ้มกับค่าเข้าด้วย
. พอเดินเข้ามาก็ได้เจอกับน้องหมี โคอาล่าตัวเป็นพวกเธอนอนนิ่ง… นิ่งจริงจังมาก เพราะโคอาล่าจะหลับถึงวัน 18-20 ชม.!! ที่ตื่นอีกสี่ชม. ก็คือการกินไง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเจอนอนนิ่งอยู่บนต้นไม้อย่างงั้นแล
. ถ้าอยากอุ้มโคอาล่าถ่ายรูปเค้ามีแพคเกจให้เสียเงินอีกคนละ 20$ AUS แต่ถ้ามาที่นี่แล้วก็ควรจะอุ้มอะแหละ เพราะไม่ใช่ทุกที่ที่คุณจะสามารถอุ้มน้องหมีได้ครับ เวลาอุ้มเจ้าหน้าที่จะให้เรายืนทำมือคล้องกันคล้ายเวลาจะอุ้มเด็ก เจ้าหน้าที่จะเอาน้องมากอดเรา เราห้ามขยับตัวแบบไกวเปลเด็กเด็ดขาดนะเพราะน้องจะกลัวตกและเกี่ยวเรา(แน่นอนว่าคงเจ็บน่าดู) Site : http://www.cws.org.au/
. จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างทางเดินไปดูจิ้งโจ้ เดินเรื่อยๆแวะชมแป๊ปๆก็ถึง จิงโจ้เชื่องๆจะนอนแอ้งแม้งอยู่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ จิ้งโจเชื่องมากๆ และเราสามารถไปซื้ออาหารจิ้งโจ้มาป้อนพวกมันได้เลย จะลูบตัวลูบหัวได้หมดเลย น้องเชื่องมากๆ ( เชื่องกับขี้เกียจมีเส้นบางๆขั้น 555 )
. นั่งเล่นกับน้องจิงโจ้สุดขี้เกียจ เฮ้ย สุดเชื่อง ได้สักพัก ก็ได้เวลาไปต่อแล้วครับบ่ายนี้เราจะไปสวนสนุก Movie world กันค่าเข้า 79$ เป็นสวนสนุกที่เป็นธีม super hero เครื่องเล่นแต่ละอันก็จะมีชื่อเป็น hero เช่น Batman , Superman , Green lantern สวนสนุกนี้ไม่ใหญ่และคิวไม่เยอะครับ ใช้เวลาประมาณ 4 ชม.น่าจะเพียงพอ
. เย็นๆเราไปเดินเล่นริมหาด Surfer paradise ที่นี่ตั้งชื่อกันตรงๆ “สวรรค์นักเล่นเซิร์ฟ” ซึ่งมันใช่มากกกกก บรรยากาศดีมากครับ หาดยาวสุดลูกหูลูกตาหลายกิโลเมตร คลื่นเป็นลอนๆต่อๆกัน และคลื่นที่นี่เหมาะกับการเล่นเซิฟสุดๆ พอผมเห็นคนอื่นเล่นแล้วอยากเล่นเซิร์ฟเป็นเลย บรรยากาศเจ๋งชะมัด
Day3 : Tangalooma Resort
. เช้าวันที่สามเราออกเดินทางแต่เช้าจาก Gold coast มุ่งหน้าสู่ท่าเรือเพื่อไป Tangalooma Island resort ซึ่งตั้งอยู่ใน Moreton Island National Park แต่โบราณนั้นเกาะนี้จะเป็นเกาะล่าวาฬ แต่การล่าวาฬเป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งนานแล้ว ปัจจุบันได้ถูกพัฒนาเป็นรีสอร์ทสำหรับการพักผ่อน เล่นน้ำ นอนอาบแดด และ เล่นกิจกรรม extreme อันหลากหลาย และจุดเด่นสุดๆของที่นี่คือเค้ามีปลาโลมาธรรมชาติที่จะว่ายมาที่รีสอร์ททุกๆคืน
. เรือใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 นาทีมาถึงประมาณ 11:30 เริ่มต้นวันพักผ่อนด้วยอาหารกลางวันอร่อย Fish & chip และ Seafood สดและอร่อยมากกกกกก
. กินเสร็จเข้าไปเช็คอินแล้วมาทำกิจกรรมแรกกันคือการเล่น Segway (55$) หลายคนคงเคยเห็นกันมาบ้างโดยเฉพาะที่เจ้าหน้าที่ใช้ที่สนามบินสุวรรณภูมิของเรา เจ้าหน้าที่จะอธิบายสั้นๆและให้เราเริ่มทดลองเล่น ตอนแรกก็กลัวๆกล้าๆกัน แต่ไม่ยากอย่างที่คิดครับพอเป็นแล้วก็เริ่มสนุกเลย
. เล่น Segway ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็เลือกที่จะเล่น Parasailing (85$) ถ้าเคยเห็นแถวพัทยาที่เราจะผูกติดกับร่มชูชีพ แล้วเรือจะแล่นลากเราไปลอยไปกับสายลมและแสงแดด ฮ่าๆๆ ตื่นเต้นครับ เจ้าหน้าที่บรีฟความปลอดภัยและท่าทางต่างๆเราก็ออกเรือกัน ดูคนอื่นเล่นคนละประมาณ 10 นาทีก็ถึงคิวผม เจ้าหน้าที่เรียกเราไปท้ายเรือ เกี่ยวชุด safety เราเข้ากับร่มชูชีพ
. ตอนนี้ใจเต้นตุบๆ และ และ ลอยยยยยยยย เรือออกแล่นและผมละล่องไปตามลม ลอยออกไป พอลอยขึ้นสูงแล้วก็ไม่ตื่นเต้นไรมากแล้วหล่ะ (มีบ้างตอนเชือกกระตุก 555 ) ลอยชมวิวไปประมาณ 6 นาทีแบบฟินๆ ก็จะถูกสาวเชือกมาใกล้ๆเรือและ landing ด้วยขาสองข้างอย่างปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
. ต่อเนื่องด้วยกิจกรรมที่สาม !! การไปซาฟารี(43$) อืมจริงๆก็ไม่มีอะไรพิเศษครับไม่ใช่ซาฟารีแบบที่คิด เป็นการนั่งรถโคชผ่านป่าย่อมๆไปยัง Sand dune (ภูเขาทราย) ขนาดใหญ่ ถ้าใครเคยไป Muine ที่เวียดนามคงพอจินตนาการออกคล้ายๆกันครับ แต่ที่นี่ทรายสูงกว่ามากๆ
. ไฮไลท์มันอยู่ที่ Sand boarding ครับเจ้าหน้าที่ก็จะมาบรีฟวิธีการเล่น Sand boarding สัก 5 นาทีบอกวิธีการเล่นที่ถูกต้อง แล้วเราก็ต้องเดินขึ้นเขาประมาณตึก 5 ชั้นไปสไลด์ลงมา !! เคล็บไม่ลับที่เจ้าหน้าที่บอกคือให้ยกบอร์ดด้านหน้าให้สูงที่สุด ทรายจะไม่เข้าและก็ทำให้วิ่งไปได้ไกลอีกตังหาก ฮ่าๆๆ
. สำหรับผมถือว่าทำสำเร็จครับทรายไม่เข้าปากเข้าหน้า เล่นไปได้สองรอบก็เหนื่อย … เล่นไม่เหนื่อยหรอกเหนื่อยกับการปีนสันทรายเท่าตึกห้าชั้นนั้นแหละครับ !!
. พอประมาณค่ำๆไฮไลท์สำคัญที่ทุกคนที่มาเกาะแห่งนี้อยากทำคือ “การให้อาหารปลาโลมา” โลมาที่นี่มาตามธรรมชาติเลยครับ ไม่ใช่โลมาเลี้ยงแต่อย่างใด โลมาฝูงนี้จะมาที่รีสอร์ทแห่งนี้ทุกคืนมาเป็นสิบๆปีแล้วครับเหมือนมันรู้งาน จากรุ่นสู่รุ่น ^^
. เจ้าหน้าที่จะเข้มงวดมากๆกับกระบวนการให้อาหารโลมา ห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวจับตัวโลเด็ดขาด เพราะเค้ากลัวว่าพวกมันจะไม่กลับมาอีกครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆเลย โลมาน่ารักชะมัด 🙂
Day 4 : Brisbane – Bangkok
. วันกลับพวกเราตื่นแต่เช้าทานอาหารเช้าที่รีสอรท์ทและออกจาก Tangalooma Island resort ด้วยเรือรอบ 8 โมงเช้าจะมาถึงฝั่งประมาณ 9:30
และรีบเดินทางต่อไป Queen street ถนนช็อปปิ้งชื่อดัง พวกเรามีเวลาเหลืออีก 1 ชั่วโมงก่อนไปสนามบิน ผมเดินเรื่อยๆผ่านร้านค้า ผ่านร้านกาแฟ ร้านขนม ดูวิถีชีวิตคนออสซี่ ทานแฮมเบอร์เกอร์ ถนนสายนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มากนักใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงบนถนนแห่งนี้ก็เดินได้ทั่วแล้วหล่ะ
. เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ ดูนาฬิกาอีกทีก็ต้องรีบไปสนามบินแล้วหล่ะครับ พวกเรามาถึงสนามบิน Brisbane นั่งรอและขึ้นสายการบินประจำชาติกลับไทยด้วยเครื่องบิน Boeing 787-8 กลับเมืองไทยด้วยความประทับใจ ทริปนี้แม้จะเป็นเพียงทริปสั้นๆแต่ก็เก็บกิจกรรมไฮไลท์ของออสเตรเลียได้ครบถ้วน ครั้งนี้ถือเป็นการมาออสเตรเลียครั้งแรกของผม แต่คิดว่าจะไม่ใช่ครังสุดท้ายอย่างแน่นอนครับ
Sponsorship : ขอบคุณสายการบินไทยที่ให้การสนับสนุนและจัดทริปนี้ขึ้นมาครับ
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!