. ถ้าพูดถึงเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของเวียดนามเหนือ ทุกคนคงนึกถึงเมืองหลวงฮานอยเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทาง จากนั้นต่อไปยังเมืองแห่งภูเขาสูง อากาศหนาวเย็นที่ซาปา และปิดท้ายด้วยการล่องเรือชมเกาะหินปูนและถ้ำที่สวยงาม ในแหล่งมรดกโลกที่ฮาลองเบย์…
. แต่ทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวในอีกเส้นทางของเวียดนามเหนือ กันที่เมืองไฮฟอง เมืองท่าที่สำคัญทางภาคเหนือของประเทศ โดยเส้นทางใหม่นี้นับเป็นทางเลือกให้เราได้เดินทางสู่อ่าวฮาลองเบย์ ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีเกาะกั๊ตบา ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวฮาลอง ที่นี่ยังเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับสงครามอีกด้วย
. วันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา สายการบินเวียตเจ็ท ได้เปิดบริการเที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางใหม่ระหว่างกรุงเทพฯ สู่ เมืองไฮฟอง ซึ่งจะมีบริการเที่ยวบินในวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และอาทิตย์ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที โดยเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เวลา 15.20 น. ถึงเมืองไฮฟองเวลา 17.10 น. (เวลาท้องถิ่น) ส่วนเที่ยวบินกลับ เดินทางออกจากเมืองไฮฟองเวลา 17.40 น. (เวลาท้องถิ่น) และถึงกรุงเทพฯ เวลา 19:30 น.
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม www.vietjetair.com หรือเฟซบุ๊ค http://www.facebook.com/vietjetthailand
ในวันแรกของการเดินทาง เราต้องค้างคืนกันที่ฝั่งฮาลองก่อน เพื่อรอจะไปล่องเรือในตอนเช้า และก็ได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนไปจาก 2 ปีที่แล้วมาก ซึ่งก็คือโครงการ Halong Park ที่อลังการงานสร้างนั่นเอง
Halong Park เป็นสวนสนุกและแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในบริเวณอ่าวฮาลองเบย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการของ Sun Group บริษัทชั้นนำในการลงทุนและก่อสร้างสวนสนุกและรีสอร์ทเช่น Bana Hills ที่เว้, Asia Park ที่ดานัง และกระเช้าไฟฟ้า Fansipan Legend ขึ้นสู่ยอดเขาฟานสิปันที่ซาปา
ปัจจุบัน Halong Park ยังไม่เสร็จเรียบร้อยทั้งหมด เนื่องจากเป็นโครงการที่ใหญ่มาก คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการอีกหลายปี แต่ตอนนี้เราก็ได้เห็นสะพานใหญ่ข้ามเกาะ ชิงช้าสวรรค์สูงที่สุดในโลก (บนพื้นที่สูงสุดนะ แต่ถ้าตัวชิงช้าสูงที่สุดในโลกคือ Singapore flyer) มีเสาไฟสูงเปิดไฟสวยงามในตอนกลางคืน
เช้าวันต่อมา เราก็เตรียมไปล่องเรือในอ่าวฮาลองกันค่ะ
หน้าตาของเรือจะคล้ายๆกันทุกลำคือทาสีขาว 2 ชั้น ด้านบนเป็นดาดฟ้ามีเก้าอี้ให้นั่งชมวิวและห้องของคนบังคับเรือ ด้านล่างเป็นบาร์ ห้องน้ำ โต๊ะอาหาร และครัวอยู่ด้านหลัง แต่ล่ะลำต่างกันที่ความหรูหรา
นอกจากนี้ยังมีเรือนำเที่ยวที่สร้างเป็นลักษณะของเรือใบย้อนยุค และเรือบาหยา (Bhaya Cruise) โดยตัวเรือจะมีลักษณะคล้ายกับเรือของจักรพรรดิไคดิงห์ มี 4 ชั้น ซึ่งเป็นการล่องเรือแบบ Over Night ขายเป็นแพ๊คเกจ รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.bhayacruises.com
จุดแรกที่มาคือ ถ้ำเทียนกุง (Thien Cung Cave) จริงๆ แล้วฮาลองเบย์มีถ้ำสวยงามมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ ถ้ำเทียนกุง ซึ่งแปลว่าถ้ำวังแห่งสวรรค์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮาลองเบย์ ห่างจากเกาะเด่าโก 4 กม. ถือเป็นถ้ำที่สวยงามที่สุดของอ่าวแห่งนี้ โดยถ้ำมีเนื้อที่ 10,000 ตร.ม. และมีโครงสร้างภายในถ้ำที่ซับซ้อนหลายชั้น และมีเพดานถ้ำสูง โดยเรือจะมาจอดส่งตรงท่าทางเข้านี้ แล้วจะวนเรือไปจอดรอรับเราอีกฝั่งตรงทางออกค่ะ
การเดินเที่ยวภายในถ้ำ ต้องเดินเป็น One Way ไม่ย้อนกลับออกมาทางเดิมนะคะ
ภายในถ้ำสวยงามแปลกตา ด้วยหินงอกหินย้อยหลากหลายขนาดและรูปทรง มีการไต่หน้าผาถ้ำเข้ามาผ่านทางเข้าแคบๆ ก่อนเพื่อเข้าสู่พื้นที่อันกว้างใหญ่ภายใน เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็จะพบกับความงามของหินงอกหินย้อยมากขึ้นเรื่อยๆ
เสาหินขนาดใหญ่ภายในถ้ำ
มีน้ำพุผุดขึ้นมาในถ้ำด้วย
บริเวณเพดานถ้ำจะพบกับหินย้อยที่มีอายุนับล้านปีเรียงไล่ระดับราวกับน้ำตก ก่อให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามด้วยสีสันและรูปทรง ตามจินตนาการของผู้มองและจังหวะของทิศทางของแสงที่สาดกระทบและสายลมที่พัดผ่านถ้ำ
มาถึงทางออกของถ้ำ จะเห็นกองทัพเรือมาจอดรอรับตรงนี้ ดังนั้นต้องจำหน้าตาเรือของตัวเองให้นะ เดี๋ยวจะสับสน
กลับมาล่องเรือกันต่อค่ะ แต่อยากจะขอเล่าเรื่อง ฮาลองเบย์ (Ha Long Bay) แหล่งมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกกันสักนิดก่อน
ด้วยเพราะเกาะหินปูนน้อยใหญ่หลากหลายรูปทรงจำนวนเกือบ 2,000 เกาะ ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณกว่า 1,500 ตร.กม. (พื้นที่ใหญ่กว่าฮ่องกง) ทำให้ฮาลองเบย์มีความพิเศษไม่เหมือนสถานที่แห่งใดในโลกและถือว่ามีคุณค่ามาช้านาน จนกระทั่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ซึ่งถือเป็นมรดกโลกแห่งแรกๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในเวลา 6 ปีต่อมา ฮาลองเบย์ก็ได้รับการยกย่องในคุณค่าจากยูเนสโกอีกครั้ง
องค์การยูเนสโกมีหลักการ 10 ข้อในการพิจารณาสถานที่ท่องเที่ยวเป็นแหล่งมรดกโลก โดย 6 ข้อจะกล่าวถึงการเป็นแหล่งมรดกในเชิงวัฒนธรรมและอีก 4 ข้อเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นแหล่งมรดกทางธรรมชาติ กล่าวคือ สถานที่นั้นๆ ต้องมี “คุณค่าสากลที่มีความโดดเด่น” โดยเข้าข่ายหลักการอย่างน้อยหนึ่งข้อ ซึ่ง 20 ปีต่อมา อ่าวฮาลองเบย์ได้รับการยกย่องเนื่องจาก “เป็นสุดยอดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือพื้นที่ซึ่งมีความงดงามทางธรรมชาติและคุณสมบัติด้านสุนทรียศาสตร์ที่ดีเลิศ”
ด้วยภูเขาหินปูนที่ผุดขึ้นจากท้องทะเลและความสูงที่ลดหลั่นกันอย่างงดงาม ทำให้ฮาลองเบย์มีทัศนียภาพอันน่าตื่นตาซึ่งล้วนเกิดจากธรรมชาติอย่างแท้จริง แม้พื้นที่แถบนี้มีผู้คนอาศัยอยู่มานานนับศตวรรษแล้วก็ตาม หากยังคงความสงบงามตามธรรมชาติไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งภายในดินแดนเขาวงกตอันงดงามที่เกิดจากการก่อตัวใต้พิภพนี้ ทุกสิ่งยังคงมีชีวิตชีวา และไม่เพียงเขาหินปูนเท่านั้น ฮาลองเบย์ยังมีถ้ำที่สวยงามอีกหลายแห่ง
ในปี ค.ศ. 2000 ฮาลองเบย์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกครั้งที่ 2 จากการเข้าข่ายหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อที่ 7 นั่นคือ “ถือเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นซึ่งแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์โลก ซึ่งมีทั้งร่องรอยบันทึกของสิ่งมีชีวิต กระบวนการทางธรณีวิทยาที่ยังคงดำเนินอยู่ในการเกิดธรณีสัณฐาน หรือมีลักษณะทางธรณีสัณฐานหรือภูมิศาสตร์กายภาพที่มีความสำคัญ”
รูปภูเขาหินปูนในฮาลองเบย์ อยู่ในธนบัตรใบล่ะ 200,000 ดองของเวียดนามด้วยนะ
เกาะรูปไก่ชนหันหน้าเข้าหากัน ถือเป็นสัญลักษณ์ของฮาลองเบย์
เข้ามานั่งกับกัปตันเรือได้นะคะ ^^
จบจากล่องเรือในฮาลองเบย์ เราก็มาขึ้นฝั่งที่ เกาะกั๊ตบา (Cat Ba Island) กันค่ะ โดยเรือจะมาจอดส่งด้านหลังของเกาะ หลังจากนั้นต่อรถอีกประมาณ 40 นาที เพื่อเข้าไปเที่ยวตามจุดต่างๆ ของเกาะค่ะ เกาะกั๊ตบา ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดจากจำนวน 367 เกาะ โดยมีพื้นที่ 260 ตารางกิโลเมตร (100 ตารางไมล์) ถือเป็นเขตแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ของฮาลองเบย์ในเวียดนามเหนือ ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเกาะนี้อยู่ในอาณาเขตเมืองไฮฟองค่ะ
จากคาเฟ่ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะกั๊ตบาได้อย่างสวยงาม
ป้อมปืนใหญ่ (Cannon Fort) ป้อมแห่งนี้ถูกใช้ในการป้องกันการรุกรานทางทะเลของเมืองไฮฟองในช่วงสงครามเวียดนาม ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจเกี่ยวกับสงครามเวียดนามมากยิ่งขึ้น
พิพิธภัณฑ์ จำลองเหตุการณ์สมัยสงคราม
อุโมงค์ใต้ดิน U-Shape
จากจุดชมวิวด้านบนป้อมปืนใหญ่ สามารถมองเห็นหมู่บ้านชาวประมงด้วยค่ะ
เนื่องจากป้อมปืนใหญ่แห่งนี้แวดล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ทำให้มองเห็นเกาะกั๊ตบาได้รอบทิศ เป็นอีกสถานที่เหมาะกับการดูพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ ของเกาะนี้ค่ะ
ชายหาดบนเกาะกั๊ตบา (Catba Island Beach) หรือหาดกั๊ตโก ซึ่งมี กั๊ตโก1 และกั๊ตโก 2 ถือเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีเยี่ยมบนเกาะแห่งนี้ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกั๊ตบาไปทางใต้ราว 1 กม. สามารถเดินหรือใช้บริการมอเตอร์ไซค์หรือแท็กซี่เพื่อไปยังหาดแห่งนี้ได้ โดยหาดทรายทั้งสองแห่งนี้มีเนินเขาเล็กๆ คั่นกลางซึ่งสามารถเดินข้ามโดยใช้เวลาเพียง 20 นาที
หาดกั๊ตโก 1
ถ้าใครชอบเดินชมธรรมชาติไปตามป่าริมทะเล สามารถเดินทาหาดกั๊ตโก 2 ได้ ระยะทางราว 700 เมตร ซึ่งที่นี่จะเงียบสงบมากกว่าและเหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือตั้งแคมป์กันในหมู่เพื่อน
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หาดแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามค่ะ
หลังจากพักผ่อนบนเกาะกั๊ตบาเมื่อคืนแล้ว ตื่นเช้ามาวันสุดท้ายสำหรับทริปนี้ เราก็มารอขึ้นเรือกลับไฮฟอง ที่ท่าเรือเกาะกั๊ตบา ซึ่งเป็นคนล่ะท่ากับตอนขาขึ้นเกาะค่ะ
บริเวณตัวเมืองบนเกาะกั๊ตบา ตรงท่าเรือ
ขากลับเป็นเรือสปีดโบ๊ท ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงค่ะ
กลับมาถึงเมืองไฮฟอง หลังจากที่เรามาถึงตั้งแต่วันแรก แต่ก็ยังไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหน ก็เลยจะมาเที่ยวกันในวันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับไทยในตอนเย็น
เมืองไฮฟอง ถือเป็นเมืองขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือสำคัญของเวียดนาม จุดเด่นของเมืองจึงอยู่ที่ธุรกิจท่าเรือ อาหาร ภูมิทัศน์ จุดชมวิว และเจดีย์ต่างๆ โดยไฮฟองเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศและมีความเจริญรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ค่ะ
Do Son Casino เป็นทั้งคาสิโนและโรงแรม มีเครื่องเล่น slot กว่า 100 เครื่อง โต๊ะเกมส์ poker อีก 17 โต๊ะ มีร้านอาหารและโรงแรมอีก 88 ห้อง แต่ห้ามถ่ายรูปด้านในนะ
โรงอุปรากรไฮฟอง (Hai Phong Opera House) โรงอุปรากรแห่งแรกของเมืองสร้างโดยคณะละครเร่ในโรงแรม Hotel des Colonies เมื่อปี ค.ศ. 1888 ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1895 – 1897 คณะอุปรากรฝรั่งเศสที่ตระเวนจัดการแสดงในอินโดจีน ซึ่งนำแสดงโดย อเล็กซานดรา เดวิด-นีล ได้มาเปิดการแสดงที่เมืองไฮฟองในเรื่อง ลา ทราวิอาทา (with La Traviata) และ คาร์เมน (Carmen) และยังมีหนึ่งคณะที่มาเปิดการแสดงในช่วงรอเวลาการจัดงานเอ็กซ์โปในฮานอย 1902 นั่นคือคณะแบลนช์ อาร์รัล (Blanche Arral)
มาถึงเมืองไฮฟอง สิ่งที่ต้องห้ามพลาดที่สุด คือการได้ลองทาน “ขนมปังเผ็ด” (Spicy Bread Haiphong) ของขึ้นชื่อกาดอกจันทร์ไว้เลย เป็นสิ่งที่ไกด์ของเราภูมิใจนำเสนอมาก ลักษณะเป็นขนมปังสติ๊กแท่งยาว กรอบนอกนุ่มใน ใส้ทำมาจากหมูบด ราดด้วยซอสเผ็ด ฟินมากกกก
เวลายังเหลืออีกนิดหน่อย เราเดินไปกันที่ วัดเหง่ (Nghe Temple) ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงอุปรากรท้องถิ่น วัดแห่งนี้มิใช่เพียงสถานที่สำคัญทางศาสนา หากยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยเป็นสถานที่เพื่อการรำลึกถึงสตรีนาม เล ฉาน ผู้ก่อตั้งเมืองไฮฟอง ซึ่งเป็นสตรีที่ต่อสู้กับชาวจีนร่วมกับวีรสตรีคนอื่นๆ ในนามกลุ่ม Trung Sisters ในปี ค.ศ. 43 ในช่วงแรก วัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นศาลบูชาและต่อมาได้รับการสร้างขึ้นใหม่และขยายพื้นที่ จนกระทั่งกลายเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาอันเป็นที่สักการะของคนท้องถิ่น โดยจุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่งานประติมากรรมหินที่สวยงามมาก
ภายในวัดมีห้องโถงหลัก 2 แห่ง คือโถงบูชาด้านหน้าและโบสถ์ด้านหลัง โดยบนหลังคาของโถงบูชาด้านหน้ามีตัวอักษรฮั่น “ศาลโบราณ อาน เบียน” โดยระหว่างโถงบูชาด้านหน้าและโบสถ์ด้านหลังมีหอเถียนฮวง 2 ชั้นซึ่งมีหลังคาโค้งทรงใบมีด โดยรูปปั้นของ เล ฉาน ตั้งอยู่ในโบสถ์ ซึ่งทั้งสองด้านของรูปปั้นจัดเป็นศาลบูชาบิดามารดาของ เล ฉาน
มาที่นี่แล้วไม่ควรพลาดชมวัตถุประวัติศาสตร์ 2 อย่าง ได้แก่ ฆ้องหิน และ เตียงหิน โดยฆ้องหินแกะสลักจากหินก้อนเดียวจนเป็นฆ้องหินที่ใหญ่ถึง 1.6 เมตร สูง 1 เมตร ด้านหน้าของฆ้องแกะเป็นรูปมังกร 2 ตัว รายล้อมด้วยพระจันทร์และมวลเมฆ ด้านหลังเป็นมวลเมฆม้วนตัวที่งดงาม โดยทั้งสองด้านมีส่วนกลมนูนเพื่อไว้สำหรับตี ซึ่งจะให้เสียงทุ้มก้องกังวานและสงบสุข ดึงความรู้สึกของผู้ฟังสู่โลกแห่งจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์
ภายในตัวเมืองไฮฟอง ยังมีที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่นโบสถ์คริสต์ พระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าบ๋าวได๋ เจดีย์เกาลินห์ และการได้เดินดูวิถีชีวิตของคนที่นี่ แต่เพราะได้เวลาต้องกลับแล้ว ก็เลยต้องรีบออกเดินทางต่อ ซึ่งถ้ามีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง คงไม่พลาดแน่นอนค่ะ สนามบินของเมืองไฮฟอง มีชื่อว่า “Cat Bi International Airport”
บริการเสริมพิเศษ “Sky Boss” ของสายการบิน Vietjet จะได้รับบริการพิเศษ เช็คอินก่อน, น้ำหนักกระเป๋าสัมภาระขึ้นเครื่องฟรี 10 กก. ,โหลดสัมภาระฟรี 30 กก. , ที่นั่งพิเศษ, ห้องเลานจ์, บริการรถส่วนตัวสกายบอส, อาหารและเครื่องดื่มฟรีทั้งในและนอกเครื่องบิน และยังสามารถเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมอีกด้วยค่ะ
ติดตามข้อมูล รีวิวการเดินทาง พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่…
Fanpage : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/
Instagram : https://www.instagram.com/my_travelholic_diary/