วันนี้ Chill Journey จะมาพาไปเดินชิลและแจกลายแทงร้านเด็ดที่ฮ่องกง ใครอ่านกระทู้นี้แล้วไม่หิวผมว่าคุณจะต้องบรรลุแล้วแน่ๆ เพราะอาหารแต่ละอย่างนั้นฟินจริงไรจริง เป็นรีวิวที่ทำแล้วลำบากใจที่สุด เขียนไปหิวไปด้วย บางทีก็เกลียดคำบรรยายอาหารตัวเองเหมือนกัน
ทริปนี้ผมได้รับคำเชิญให้ไปร่วมทริปจากบริษัท A-life บริษัทวางแผนทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ทุก lifestyle โดยเราไปจะไปพิสูจน์กันครับว่าด้วยเวลาเพียง 3 วัน 2 คืนกับการวางแผนที่ดี เราจะสามารถทำอะไรได้เยอะมากมายแค่ไหน
เริ่มต้นชีวิตเกรดเอ ด้วยการนั่งสายการบิน Cathay pacific สายการบินที่ปีนี้ได้เป็นสายการบินดีที่สุดในโลกลำดับที่ 3 ของโลกเชียวนะ และข้อดีของสายการบิน Cathay ก็คือมี Flight บินไปฮ่องกงที่ถี่มาก การบริการก็ถือว่าดีงามสมกับอันดับ 3 ของโลกจริงๆ คำแนะนำสำหรับคนเวลาน้อย ผมมีไฟลท์ในดวงใจมาแนะนำดังนี้ครับ
ไฟลท์เช้าตรู่ไปถึง 05:50 ถึงเช้าๆมาทานโจ๊กร้อนๆแล้วขากลับก็ใช้ชีวิตช็อปให้เต็มที่กลับ 22:20 โน้นทำทริปเป็น 2 วัน 1 คืนแบบจัดหนักจัดเต็มคุ้มจนหยุดสุดท้าย (แต่ทริปนี้เป็น 3 วัน 2 คืนนะ)
จากสุวรรณภูมิบินลัดฟ้ามาที่สนามบินฮ่องกง นั่งเครื่องบินใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมง 50 นาทีเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าขึ้นเครื่อง กินข้าว กินน้ำ ยังไม่ทันได้เอนตัวลงนอนก็ถึงซะแล้ว
วิธีการเข้าเมือง
วิธีการเข้าเมืองที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คือการนั่ง HK Express นั่งตรงจากสนามบินมุ่งหน้าสู่สถานี Kowloon หรือ Hong Kong ได้ภายใน 17 นาทีไวมากแต่ก็แพง แต่ถ้าใครงบน้อยผมแนะนำให้นั่ง รถเมล์ CityFlyer สาย A21 ยอดนิยม มุ่งหน้าสู่ มงก๊ก-จอร์แดน-จิมซาจุ่ย ในราคาเพียง 33 HKD เท่านั้น
บัตร octopus
ก่อนอื่นมาถึงสนามบินก็ขอแนะนำให้ซื้อบัตรเจ้าปลาหมึกก่อน ชีวิตคุณจะดีขึ้นอีกเยอะ เพียงแค่เติมเงินเข้าไปในบัตรต่อจากนี้จะไปไหนมาไหน จะซื้อของก็แค่แปะบัตรนี้ลงไปเท่านั้นเองง่ายมากๆ บัตรนี้ซื้อหาได้ที่ Counter ของ Airport Express หรือ Customer Service Centre ของรถไฟใต้ดินทุกสถานีครับ
มื้อแรกก็ฟินแล้ว
ขอตัดฉากเข้าไปมื้อค่ำวันแรกเลยแล้วกัน เราไปทานกันที่ภัตตาคาร Xin Dau Ji สาขาต้นตำรับ อยู่แถวๆสถานี Jordan ร้านนี้เป็นร้านอาหารแบบจี้น จีน โดดเด่นที่ป้าย Michelin star หน้าร้านเป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้เด็ดแน่นอน ทีเด็ดร้านนี้ต้องห้ามพลาดคือ “หมูหัน” ที่ อ.เกษมสันต์ วีระกุล ผู้นำทริปจากเอไลฟ์ โฆษณาไว้ได้น่ากินมากกกก ว่านี่คือร้านหมูหันที่อร่อยที่สุดเท่าที่กินมา
พิกัดร้าน : MRT Jordan
ถ้าเจอหน้าร้านแบบนี้ป้ายแบบนี้ถือว่ามาไม่ผิดแน่ ตรงป้ายแดงๆนั้นจะมีกระจกอยู่มีโชว์การย่างหมูหันให้ดูด้วยครับ กินหอมฉุย น้ำลายสอแน่นอน แต่ละมื้อมีอาหารหลายอย่างมาก ผมคงลงให้ไม่หมดทุกเมนูนะ เอาเท่าที่เป็นเมนูที่ผมแนะนำอยากให้ทุกคนมาทานกันเน้อะ
ไส้เป็ด ไส้เป็ดกรุ๊บๆผัดกับน้ำซอส ปรกติกินแต่ไส้หมู ไส้ไก่ แต่มาไส้เป็ดถือว่าแปลกและอร่อยถูกปากเลย
หมูหัน (Roasted Suckling Pig) , ไซด์เล็กสุดที่ 148 HKD , ถ้าทั้งตัว 689 HKD
พระเอกที่ทุกคนตั้งต่อรอก็มาเสริฟ พอชิมแล้วต้องบอกเลยว่า “หมูหันบ้าอะไรไม่รู้หนังโคตรกรอบ” มันกรอบกับหมูแผ่น หนังกรอบแต่ด้านในยังมีคงความรู้สึกนุ่มชุ่มฉ่ำ แล้วที่แปลกคือเป็นหมูหันที่ไม่รู้สึกเลี่ยนเลยสักนิด ส่วนเวลาทานเค้าจะมีน้ำจิ้ม เค็มๆออกแนวถั่วๆหน่อยมาให้จิ้มครับ เข้ากันม๊ากมาก กินลืมไขมันไปในเลือดไปเลย
น้ำจิ้มซอสถั่วเค็มๆแบบนี้เข้ากั้นเข้ากัน นอกจากถ้วยเค็มแล้วเค้าก็จะมีน้ำตาลให้อีกชาม (น้ำตาลเม็ดๆเลย) เป็นอารมณ์เค็มแล้วให้จิ้มหวาน (ใส่ชามตราไก่ด้วย import จากไทยป่ะเนี้ย)
นกพิราบทอด (Crispy Deep-Fried Pigeon) , 98 HKD
นกพิราบหน้าตาไม่น่ากินเอาเล้ย import ส่งตรงจากสนามหลวง(เห้ยไม่ใช่!) แต่สำหรับชาวฮ่องกงนกพิราบคือของดีเลยนะ คนแนะนำบอกผมว่าส่วนเด็ดคือสมองนก เอิ่มมมม ทำใจแป๊ป
เกิดมาทั้งทีต้องลองก็เอาวะลุย กร๊อบ… กินสมองนกไปเรียบร้อย มันเป็นรสเค็มๆมันๆอร่อยแบบเลี่ยนๆนิดหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่แนะนำก็คือตูดนก(สะโพก) คืออันนี้ฟินมากกกก ไม่เคยคิดมาก่อนว่านกพิราบจะอร่อย เนื้อนกพิราบจะคล้ายเป็ดแต่มีกลิ่นเฉพาะของนกพิราบ มีกลิ่นย่างไหม้นิดๆแห้งๆหนังกรอบแต่พอกัดไปเนื้อกลับรู้สึกนุ่ม ฟินนาเล่ไปเลย
หอยนางรม US ผัดในหม้อดินเผา (198 HKD ) แบบว่าหอยตัวใหญ่มากกกกกผัดในหม้อดิน นี่ขนาดผัดแล้ว หดแล้วยั่งเกือบฝ่ามือ รสชาติดีครับไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย ผัดกับซอสคล้ายน้ำมันหอย
“ผัดกาดแก้ว ผัดหม้อดิน” (Juju Style Chinese Lettuce in Hot Pot) 78 HK
เมนูปิดท้ายสุดธรรมดาแต่ดันอร่อย เวลาเสริฟจะเป็นผักสดๆกลิ่นหอมปลาเค็มนิดๆมาพร้อมกับหม้อดินร้อนๆแล้วจะมาผัดๆกันสดๆเลยบนโต๊ะ ผักจะกรอบสุกกำลังดี คืออร่อยเด็ด เอาไว้ปิดท้ายจากอาหารเลี่ยนๆหลายจานได้ดีมาก
อิ่มแล้วก็เดินย่อยกลับที่พักกัน
The Perkin hotel ใจกลางย่านกินดื่ม
. ตลอด 2 คืนนี้เราจะนอนที่โรงแรม The Perkin hotel โรงแรมใจกลางถนนกินดื่ม Knutford road อยู่ไม่ไกลจากสถานี Tsim Tsa tsui เลยเรียกได้ว่าทำเลดีสุดๆ เข้าโรงแรมแล้วกดลิฟท์ไปชั้น 5 เลยครับจะเป็นล็อบบี้ โรงแรมนี้สร้างความประทับใจได้ดีด้วย free mini bar ที่ชั้นล็อบบี้ มีทั้งชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำดื่ม เค๊ก เรียกได้ว่าครบครันให้ลูกค้าโรงแรมประทับใจตั้งแต่ก้าวมาถึง
. ฮ่องกงขึ้นชื่อเรื่องที่แพงมากๆ ดังนั้นห้องพักจะแคบมากจนหนูแทบจะดิ้นตายได้ แต่พอเปิดห้องมาผมก็ถึงกับเซอร์ไพร์เลยครับ ห้องกว้างตามมาตรฐานโรงแรมทั่วไปเลย ตบแต่งในสไตล์ loft สไตล์เรียบๆแต่ดูหรู ห้องของเราเป็นเตียง twin ขนาดใหญ่พร้อมเครื่องนอนอย่างดี น่าโดดลงไปนอนมากๆ
เช้าวันเสาร์
. เช้าวันนี้เรามีนัดกินโจ๊กกับทีมงานตอน 9 โมงแต่เหล่าแก๊งชายสี่เราไปเสพรางวัลชีวิตกันที่ริมน้ำ ตรง Avenue star กันก่อนครับ ผมเป็นตัวตั้งตัวตีนัดออกกันตั้งแต่ตี 5 โน้น พวกเราเดินจากที่พัก The Perkin hotel ย่าน Tsim Tsa tsui เดินไป 1.1 กิโลเท่านั้นเอง(เหรอ)
. ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพียงแค่ 10 นาทีพวกเราก็เดินมาถึงตรงลาน Avenue star ฟ้ากำลังสวยได้ที่ ผมและฟลุ๊คสวมวิญญาณตากล้อง รีบวิ่งไปจับจองทำเลตั้งกล้องถ่ายภาพ แต่ถ่ายได้ไม่ถึง 10 นาทีแสงไฟจากตึกก็ปิดลง ฟ้าเริ่มสว่างแต่พระอาทิตย์วันนี้เธอถูกเมฆบดบังจนเราไม่ได้มาเจอกัน ผมขยับไปถ่ายรูปเพิ่มในมุมอื่นอีกเล็กน้อย และก็เดินเล่นแถวๆนั้น
. ผมละสายตาจากช่องมองกล้อง และเปิดใจหันกลับมามองผู้คนมากขึ้น เมืองที่วุ่นวายที่ผมรู้จักเมื่อคืนนี้ เช้านี้มันกลับเงียบสงบ คล้ายกับเมืองยังคงหลบไหล ผมได้เห็นคนมาวิ่งออกกำลังกาย ผู้ใหญ่มารำไท้เก๊ก บรรยากาศช่างสงบและสวยงาม อย่างถ่ายมุมไหนก็ถ่ายไม่ต้องหลบผู้คนนับล้านเหมือนช่วงเวลาปกติ
ฮ่องกงเปิดโอกาสให้เราได้ฟินกับบรรยากาศสุดชิลได้ไม่นาน ฝนก็เริ่มลงเม็ด พวกเราตัดสินใจเดินกลับโรงแรมกัน ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมตอน 7 โมงบรรยากาศยังคงเงียบสงบ ผู้คนบางตา ช่วงเช้าทำให้ผมได้เห็นมุมมองฮ่องที่แปลกไป
ได้เวลามื้อเช้า
. เราเดินจากโรงแรมไปกินร้านโจ๊กที่เอไลฟ์บอกว่าเด็ดดวง(อีกแล้ว) ต้องบอกก่อนว่าผมเคยกินโจ๊กฮ่องกงร้านดังของคนไทยมาแล้ว ร้านที่มีเมนูภาษาไทยยอดฮิตของคนไทยนั่นแหละ แต่ผมรู้สึกว่ามันงั้นๆมาก สู้โจ๊กไทยก็ไม่ได้ แพงก็แพง วันนี้ก็เลยคาดหวังไว้เต็มที่เลยว่าที่เอไลฟ์จัดมาให้นั้นต้องดีงามแน่นอน
. ผมเดินต้อยๆตามทีมงาน จากที่พักเดินเรียกน้ำย่อยพอประมาณมาจนถึงร้าน “ซันเฮงจ๋าน” ร้านนี้อยู่ใกล้กับสถานี Jordan พิกัดนี้ครับ GPS : 22.306454,114.1708059
ร้านดูบรรยากาศบ้านๆมากๆเป็นห้องแถวธรรมดา ร้านนี้เค้ามีทีเด็ดที่ปลาจีน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนหัว ตัว หาง ท้อง มีหมดทุกส่วนสั่งได้ นอกจากปลาแล้วก็มี หมูและเครื่องใน ไข่เยี่ยมม้า ก็มีเช่นกันครบครันตามหลักสูตรโจ๊กฮ่องกง
. ผมได้ร่วมโต๊ะกับผู้ร่วมทริปอีก 3 คน เราเลยสั่งมา 4 ชามมาแชร์กัน ผมได้ชิมทั้ง หมูสับ , เครื่องในหมู (ตับ ไส้ เซ้งจี้ ) ปลาจีน ไข่เยี่ยมม้า คือชิมมันครบเลยครับ อร่อยเด็ดดวงทุกชาม ที่ผมปลื้มเอามากๆคือเครื่องใน โดยเฉพาะตับ มันสุกกำลังดี เด้งดึ๋ง อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินเครื่องในมาเลยก็ว่าได้
. ชามที่เป็นรวมมิตรปลาก็จะมีรสชาติแตกต่างจากชามหมู เพราะจะได้รสชาติหวานของเนื้อปลาลงไปคลุกเคล้าในเนื้อโจ๊กด้วย เนื้อปลาสดสะอาดไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย
. ส่วนคนที่ไม่เคยกินโจ๊กฮ่องกงว่ามันต่างกันยังไง? มันจะต่างกับบ้านเราที่ตัวข้าวครับ เนื้อข้าวจะถูกต้มจนเหลวมากๆหรือบางคนเรียกว่าเนื้อครีม ที่พิเศษคือแต่ละร้านจะมีสูตรลับเฉพาะตรงข้าวนี่แหละ บางคนก็บอกว่าเค้าเอามันหมู เอาฟองเต้าหู้ เอาโน้นเอานี่ไปต้มจนมันละลายไปกับข้าวเลย ( สูตรลับเน้อะเค้าไม่ได้บอกก็เดากันไป ) ภาพรวม โจ๊กเครื่องแน่น(มาก) ข้าวรสเด็ดมีกลิ่นไหม้นิดๆ กินกับปาท่องโก๋ คือฟินจริง คราวหน้าจะพาคุณแม่มาทานร้านนี้แน่นอน อร่อยมากๆๆๆ
ราคาขาย อยู่ที่ 50-73 HKD ต่อถ้วย (เดาว่า 73 HKD คือแบบรวมมิตรครับ)
*ร้านนี้ไม่มีเมนูภาษาไทย ดังนั้นแนะนำว่าให้เซฟภาพไปเปิดให้ดูถึงได้กิน
อิ่มพุงแล้วอิ่มบุญกันบ้าง
เรื่องเล่าเช้านี้เราไปเสริมสิริมงคลกันที่คนไทยเรียกว่าวัด “หวังต้าเซียน” แต่ถ้าไม่ผิดคนฮ่องกงอ่านว่า “หว่อง ไท่ ซิน” (Wong tai sin)
วัดนี้เป็นวัดที่โด่งดังอันดับต้นๆ ของฮ่องกง คนไหนมาฮ่องกงแล้วไม่ได้มาไหว้วัดนี้ถือว่าผิดเพราะมีความเชื่อว่าการได้มากราบไหว้ขอพรจากองค์เทพเจ้าหวังต้าเซียนจะทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งสมความปรารถนา ที่แน่ๆท่านได้ให้พรผมแล้ว เพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้วผมได้ขอท่านไว้ว่า “ให้ผมได้กลับมาไหว้ท่านอีก”
เวลาเปิด-ปิด: 07:00-17:30 น.
การเดินทาง: MTR สายสีเขียว TKL สถานี Wong Tai Sin ทางออก B3 จากนั้นเดินผ่านห้าง Lung Cheung Plaza ออกมาแล้วเดิน อีกประมาณ 50 เมตร จะถึงวัด
เว็บไซต์: www.wongtaisin.org.hk
เนื่องจาก เอไลฟ์มีคนรู้จักที่เป็น exclusive member ของวัดนี้ครับทำให้เราได้เข้าไปไหว้ชั้นในแบบใกล้ชิดสุดๆ ( คนทั่วไปจะไม่ได้เข้ามาด้านในขนาดนี้ครับจะต้องไหว้ด้านนอก )
ส่วนของวัดนี้ที่สร้างความแปลกใจผมได้เพิ่มคือชั้นล่างอาคารครับ คราวที่แล้วผมไม่ได้เข้าและไม่ค่อยเห็นคนไทยรีวิวนัก ค่าเข้าโซนนี้ผู้ใหญ่ 100 HKD (คนทั่วไปเข้าได้) พอเหยียบเข้ามาแล้วรู้สึกรับรู้ได้ถึงความขลังเลยครับ สวยมากๆคุ้มค่ากับค่าเข้าครับ ถ้าสังเกตเห็นคนใส่ชุดสีแดง นั่นคือพระครับ
นอกจากนี้ ก็จะมีการเขียนคำขอพรจากเทพประจำปีเกิดของตน (ตามหมายเลขที่เราไปปักธูป) โดยพระท่านจะเขียนชื่อเราลงกระดาษทำพิธีคล้ายเวลาเราไปเยาวราช จากนั้นเค้าจะให้เรานำกระดาษ ไปใส่ในตู้ด้านล่างของเทพปีเกิดที่เราไหว้ เมื่อใส่เสร็จก็จะมีควันออกมา แปลว่าท่านได้รับข้อความแล้ว คืออเมซิ่งมากๆ
กินอีกแล้วที่ CHUK YUEN SEAFOOD RESTAURANT
ร้านนี้อยู่ย่านจิมซาจุ่ย ด้านหน้าร้านป้ายแบบนี้ถือว่ามาถูกทางแล้ว เตรียมฟินได้ เดินเข้าไปจะพบกับตู้ปลา ล็อบเตอร์ตัวเบิ้มๆว่ายรออยู่ จะว่าสงสารก็คงไม่ใช่เรื่อง งั้นเอาเป็นว่าข้าจะกินเจ้าไม่ให้เหลือแล้วกันนะ
เมนูอื่นๆก็มาเสริฟออกมา เดริฟก่อนครับ
ตีนไก่ในซอสเป๋าฮื้อ คนไทยว่าถูกแต่คนฮ่องกงว่ามันคือของดี อร่อยแบบจีนๆ ผมนี่คิดถึงซุปเปอร์บ้านเราเลย
งานขนมจีบก็มา
ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้ปาท่องโก๋ เมนูมาตรฐานฮ่องกง ที่มีแทบทุกร้าน แต่ร้านนี้อร่อยมากครับ ตรงไส้ปลาท่องโก๋ยังกรอบอยู่ แป้งด้านนอกก็นุ่ม เคยกินที่ร้านโจ๊กยอดฮิตของคนไทย โคตรเหนียวเลยครับ พอกินร้านนี้ขอเปลี่ยนใจเป็นเมนูโปรดอีก 1 เมนู
แต่ละอย่างก็คืออร่อยนะ แต่พอล็อบเตอร์อบชีสลงเท่านั้นแหละทุกคนหยุดทานทุกสิ่งแล้วมาโฟกัสกับพระเอกเราทันที ซุปตาของจริง!
ตักแล้วนะครับ เมนูชีสต้องรีบทานตอนร้อนๆ ล็อปเตอร์เนื้อแน่นๆเน้นๆ เคลือบชีสเยิ้มๆ กินคู่กับขนมปังฝรั่งเศส คืออร่อยเวอร์วังมากกก มือเปรอะต้องยอมหล่ะ ตอนนี้ไม่สนไขมันและคอเลสเตอรอลช่างหัวมันไปก่อน คือพี่ฟินมากพูดเลย
( ราคาโหดนิดหนึ่ง 650 HKD/1 กิโลกรัม )
ปิดท้ายมื้อด้วยซาลาเปาไส้ไหล คือ ไหลจริงไรจริง ไส้ไข่เค็มเน้นๆ เป็นซาลาเปาที่โคตรรรรรอร่อย แม้ผมจะซัดล็อปเตอร์จนพุงกาง แต่พอซาลาเปามาผมยังกินไปอีก 2 ลูกแหนะคืองานดีจริง ห้ามพลาด
ภารกิจตามหาย่าน hipster
ผมมีเวลา free time ประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนเวลาอาหารเย็นครับเลยเลือกจะลองไปตามหาย่าน hipster ของฮ่องกง ทำติสแตกไปเที่ยวคนเดียวกลับไปใช้ชีวิตแบบ backpacker อีกครั้ง ผมค้นหาจาก google ตรงนั้นสดๆเลยได้ชื่อมาว่าย่านฮิปคือ “Po Hing Fong” อยู่ตรงสถานี Sheung Wan ผมมีข้อมูลแค่นี้เท่านั้น ลุยเดี่ยวไปด้วยความมั่นใจ
วิธีการเดินทางในฮ่องกงไม่ยากเลย MRT ไปแทบทุกที่เพียงคุณมีบัตรเจ้าปลาหมึก Octopus ไปไหนมาไหนก็แค่แตะแล้วเข้าไปได้เลย จากที่พัก Tsim sha tsui ผมเดินเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน พอดูตารางรถไฟเห็นว่ารถไฟสายสีแดงจะวิ่งไปสุดที่สถานี Central จากนั้นผมต้องเปลี่ยนสถานีไปยัง Sheung Wan อีกที
แต่พอถึงสถานี Central แล้วลองดูแผนที่เดินไปสถานี Sheung wan ไม่กี่กิโลก็เลยตัดสินใจเดินแทน เที่ยวชิลสไตล์ Chill Jounrey ที่เพื่อนบอกว่ามึงควรไปเปลี่ยนชื่อเป็น ชิลพาหลง น่าจะดีกว่าเพราะไปไหนมึงแม่งก็หลงตลอด ! ( เห้ยคือไม่ได้หลงนะเดินชิลอยู่ = =” )
หลังจากนี้ผมไม่สามารถระบุพิกัดได้แล้วนะครับว่ามันอยู่ตรงไหนบ้าง ผมเดินหลงไปหลงมาระหว่างสถานี Central กับ Sheung wan ครับ เดินไปเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวซ้ายอีกที เอ้า!กลับมาที่เดิม ส่วนย่านฮิปเตอร์อยู่ไหนเนี้ยผมหาไม่เจอ T-T
หลังจากเดินผิดกลับมาแถว Central ผมก็เปิดแผนที่แล้วเดินกลับไปแถว Sheung wan อีกครั้งผม ผมเดินหลงๆไปเรื่อยๆครับเจออะไรน่าสนใจก็ถ่ายมา
มีร้านหนึ่งแปลกดีคือเหมือนเป็น café สำหรับพ่อแม่เอาลูกๆมาเล่นกัน น่ารักมากๆเลยครับ
เดินจนเหนื่อยหาย่านฮิปไม่เจอก็ตัดใจครับ ผมเลยลองนั่งรถ Tram ดูบ้างมันจะได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง รถวิ่งช้าลงแต่ทำให้ได้มองบรรยากาศรอบข้างมากขึ้น ค่อยๆนั่งชมวิวไปจนถึงสถานี Causeway Bay ( ยังอยู่ฝั่งฮ่องกง วิ่งจากซ้ายไปขวา ) ตรงนี้ผมรู้สึกมัน feeling คล้ายแถว 5 แยกชิบูย่าของญี่ปุ่นเลย คือคนเยอะมากกกก แล้วเวลาข้ามถนนก็ข้ามกันแบบเร่งรีบ ตัดกันไปตัดกันมา
ผมก็เดินหลงแบบไม่มีจุดหมายเช่นเคย แล้วก็เจอร้าน HUI LAU SHAN ร้านน้ำมะม่วงเจ้าเด็ดที่เพื่อนๆในเพจแนะนำมา แก้วนี้ 40 HKD แพงเหมือนกันนะแต่อร่อยมากกกก อร่อยสมราคาครับมาฮ่องกงคือห้ามพลาด
เดินไปเดินมาเข้าห้างมั่วๆไปห้างหนึ่ง สายตาดึงดูดไปที่ กันดั้มตัวเบิ้มหน้าห้าง มองป้ายถึงบางอ้อได้รู้ว่าห้างนี้มีชื่อว่า Times Square มาค้นทีหลังงานนี้เป็น Event เฉพาะกิจที่มีชื่อว่า “นิทรรศการ Gundam Dock at Hong Kong II ”เป็นนิทรรศการชั่วคราวที่จัดแค่เดือนเดียว ไม่ใช่นิทรรศการถาวรแบบ Gundam Odaiba ดังนั้นใครอยากไปดูก็ต้องรีบกันหน่อย รายละเอียดสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของห้าง Times Square http://www.timessquare.com.hk/eng/ นะ
ใกล้ได้เวลานัดผมก็รีบกลับไปที่พัก เผื่อเวลากลับไปอาบน้ำล้างเหงื่อก่อนทานข้าวเย็นสักหน่อย ยังไงชิลถึงก่อนเวลาแน่ๆ นั่ง MRT กลับไปยังสถานี Tsim sha tsui พอออกมาจากสถานีมั่นใจมากครับ เดียวออกแล้วเลี้ยวขวา เดินไป3ล็อคเลี้ยวขวาอีกรอบ เจอแน่นอน! จะขอข่มพวกที่บอกว่าชิลชอบหลงให้เงียบ
ผมเดินเลยครับด้วยความมั่นใจครับ แต่ผ่านไป 15 นาทีก็ยังไม่ถึง !! เห้ยยยย จาก MRT ไปที่พักก็ยังหลง สุดท้ายเดินวนไปอีก 15 นาทีกว่าจะเจอครับ สรุปว่ามาเลทไป 5 นาที เลยได้ฉายา ชิลพาหลง ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยเพิ่มอีกอัน T-T
ชาบูเนื้อเทพเวอร์
ร้านนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า king of beef ชื่อก็ต้องบ่งบอกแล้วหล่ะว่าเนื้อมันต้องเทพ ไหนของพิสูจน์สักหน่อย
พิกัด : อยู่ใกล้กับสถานี Jordan ลองค้นคำว่า king of beef ก็ได้ครับ
เอาเมนูไปดูก่อนครับ จะสั่งแบบไหนดีน้า แล้วเค้าก็ถามครับ
“ใครกินเนื้อบ้าง”
ผมนี่รีบยกมือขึ้นให้ไวเลย ร้านมัน king of beef ขนาดนี้ beef lover อย่างผมไม่พลาดแน่นอน
รอไม่กี่อึดใจจานแรกก็มาเสริฟ ไม่ใช่เนื้อแต่มันคือหอย! อารมณ์ประมาณหอยลายผัด
กุ้งซาซิมิก็มา คือกุ้งสดมาก ฟินมาก แต่กินไปได้ 2 คำก็เกิดอาการครับ ลืมตัวไปว่าตัวเองแพ้กุ้งดิบ ผมรู้สึกคันคอขึ้นมาเป็นสัญญาณทันที ต้องขอบคุณทีมงานเอไลฟ์ช่วยชีวิตครับเค้ามียาแก้แพ้ติดตัวมา รวมทั้งพี่หมอยุ่งแม้จะเป็นหมอหมา แต่ก็พอให้คำแนะนำได้ด้วย ว่าให้กินยาแล้วทานน้ำเข้าไปเยอะๆ รอดตัวไป
อีก 2 เมนูอาหารทะเลก็มาเสริฟครับ แต่ไม่ได้ทานเพราะแพ้กุ้งอยู่ รอยาออกฤทธิ์ครับ
งานเกี้ยวก็มา โดยเฉพาเกี้ยวกุ้ง เน้นๆเต็มคำ
และแล้วเนื้อที่รักของผมก็มา เธอลายสวยมากกกกกกกก
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเกรงใจ
“ขออนุญาติทานเลยนะครับ” ผมชิงเปิดฟลอร์ เจอเนื้อลายสวยขนาดนี้ไม่ไหวแล้ววว
.
.
จุ่มลงไปในน้ำซุปเพียงแค่ 5 วิพอสะดุ้งไฟ เนื้อลายสีชมพูฟินๆจิ้มเข้าปาก คือ คือ ฟินมากกกก ถ้าใครเป็น beef lover แล้วได้กินเนื้อดีๆจะรู้ว่ามันแบบว่า เหมือนมีแสงพรุ่งพร่านในปากแบบการ์ตูน กลิ่นและรสของเนื้อดีๆมันเฉพาะตัวจริงๆ
ฟินกับเนื้อไปได้ไม่นาน งานเนื้อแกะก็มา อันนี้ผมชิมไปนิดหน่อย ไม่มีกลิ่นครับ อร่อยดีแต่ฟินเท่าเนื้อไม่ได้ เนื้อมันฟินมากจนต้องต่อจนสอง!
ระหว่างทานข้าวในทริปผมได้รับข้อมูลดีๆจากเอไลฟ์ว่าทำไมทุกคนจึงต้องวางแผนทางการเงิน? สรุปง่ายๆได้ 3 อย่างครับ
- เพื่อรักษาความมั่งคั่ง ( Wealth protection )
- ทำเงินที่มี ให้เกิดผลประโยขน์สูงสุด ( Wealth creation )
- บริหารสภาพคล่องด้านเงินสด ( Cash flow management )
อ่านเพิ่มได้ที่ http://www.alife.co.th/web/article.php?catid=3&id=57
ไอศกรีมไนโตรเจน!
อิ่มคาวแล้วก็ต่อของหวานครับใกล้โรงแรมเรามีร้านชื่อ “Lab made” ร้านนี้เค้าขายไอเดียที่เป็นไอศกรีมที่ทำสดๆให้ความเย็นด้วยไนโตรเจนเหลว ตอนแรกก็คิดว่าจะขายแค่ไอเดีย แต่สั่งมาทานแล้วโคตรอร่อยเลยครับ เนื้อเหนียวเนียนนุ่มใกล้เคียงฮาเก้นดาสเลยอะ คือวันนี้ฟินตั้งแต่เช้า กลางวันเย็นก่อนนอน ลืมอ้วนไปชั่วขณะ
เช้าวันอาทิตย์
. วันนี้ผมตื่นตี 4 ครับท่านผู้ชม คือนัดแนะกับพี่ๆเดอะแก๊งไว้ครับว่าเราจะไปฟินกับพระอาทิตย์ขึ้นที่ The peak กันแต่ แต่.. ผมเพลียร่างมากครับ ตื่นมาพิมพ์ไลน์ไป
“อืมพี่… วันนี้ฟ้าปิด ไปก็ไม่น่าสวย เอาไงดีครับ” ( คือเราเป็นคนชวนไง จะบอกว่าเออพี่คือง่วงไม่ไปแล้วนะ )
.
นั่งเฝ้าไลน์ไปครับ 15 นาทีก็ไม่มีเสียงตอบรับ ( คือทุกคนยังไม่ตื่นใช่ม๊าย! )
.
“งั้นไม่ไปละกันนะ” ไม่ไหวแล้วง่วงมาก ผมส่งไลน์ตัดบท แล้วกระโดดขึ้นเตียงทันที 555
……….ภาพตัดเหมือนถูกวางยาจากตี 4 มาถึง 9 โมงเช้า……………
“เชียสสส อีก 10 นาทีจะเป็นเวลานัด” ผมรีบวิ่งไปอาบ(ผ่าน)น้ำ กวาดทุกอย่างลงในกระเป๋าเดินทางและลงมาพบกับชาวคณะ วันนี้เราได้ใช้บัตรพี่หมึกอีกรอบ นั่งรถไฟไปกินร้านห่านย่างร้านดัง เป็นห้องแถวธรรมดาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับ Michelin star
พิกัด : MRT central ตรงจุดสีน้ำเงิน
หน้าร้านแบบนี้มีติดป้าย Michelin star ไม่ผิดแน่ตรงดิ่งเข้าไปเลย
มาแล้วครับ ไอ้ห่าน! เฮ้ย.. ห่านยาง อร่อยครับแต่วิจารณ์กันตรงๆว่า อร่อยครับ แต่มันไม่อร่อยเท่าที่คาดหวังไว้ หนังห่านมันเลี่ยนไปหน่อยครับ คนในทริปบอกว่าเค้าเคยมากินรอบที่แล้วอร่อยกว่านี้ ดังแล้วอาจจะมาตรฐานตก
ส่วนหมูแดง หมูกรอบ นี่คืออร่อยครับ อร่อยมาตรฐานฮ่องกง
แต่ที่ผมว่าเด็ดมันคือบะหมี่ครับ บะหมี่ฮ่องกงจะเป็นเส้นเล็กๆลวกแบบยังมีความแข็งอยู่นิดๆ อารมณ์แบบวิธีการลวกสปาเก็ตตี้ที่ดีที่สุดคือ ด้านนอกจะต้องนิ่มกำลังดีแต่ด้านในยังมีไตอยู่นิดหนึ่ง ด้วยความรู้ห่างอึ่งของผมก็มโนไปได้ประมาณนี้ สรุปว่าบะหมี่นี่แหละครับที่ทำให้มื้อนี้มันโคตรอร่อยขึ้นมาได้!
กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาช็อปละ ชาวคณะกระเป๋าหนักเค้าก็ไปช็อปกัน ส่วนนักเดินทางไส้แห้งอย่างผมจะช็อปอะไรหล่ะ แลกเงินมาอารมณ์ขึ้นรถก็หมดแล้ว ก็ถ่ายรูปไปสิครับ
ชาวคณะช็อปเสร็จ ส่วนผมก็ถ่ายครบ 12 แอ๊ค เวลาเรามาป้ะกันพอดี ทางเอไลฟ์ก็เสนอว่าเราลองกลับแบบใหม่ดูบ้างจะได้ครบรสชาติ เรานั่งรถ Tram จาก Central ไปลง Wan Chai แล้วเดินไปขึ้นนั่งเรือ ferry กลับไปฝั่งจิมซาจุ่ย ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง นั่งเรือก็เพลินดีนะครับ ใครมาฮ่องกงคราวหน้าก็ลองมาใช้บริการมั่ง
นั่งเม้าส์มอยน้ำลายแตกฟอง กระเพราะยังไม่ทันย่อยก็ได้เวลากินอีกแล้ว มื้อนี้เรามาจัดติ่มซำกันที่โรงแรม Sheraton ครับ
พิกัด : โรงแรมหาไม่ยากเลยก็อยู่ตรงหัวถนนนาธาน หรือเอาง่ายๆคือฝั่งตรงกันข้ามกับ Avenue of Stars นั่นเอง
วันนี้เราจะทาน 6 signature dish ของทาง Sheraton กันเรียกได้ว่าไม่ดีจริงเค้าไม่ทำมาเสริฟแน่นอน เสียชื่อหมด ของงี้ต้องพิสูจน์!
เผือกทอดห่อไส้ Scallops – เผือกทอดร้อนๆรสชาติกลมกล่อมพร้อม Scallops หวานเต็มคำ ด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่ม อ้ามม
ฮะเก๋า – มาแล้วฮะเมนูสุดเก๋า ที่มโนเอาว่ามันน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย “ฮะ .. คือเก๋าอะฮะ” ตึ่งงงง พอๆๆเอาเป็นว่า เป็นเมนูที่สาวกคนรักฮะเก๋าต้องร้องว้าว ฮะเก๋าแป้งเหนียวหนึบมาพร้อมกับกุ้งเน้นๆ3ตัวในคำเดียว วิธีกินให้ฟินไม่ต้องแบ่งครับอ้าปากกว้างๆแล้วยัดมันเข้าไปเลย!! ความหวานของกุ้งจะพลุ่งพล่านอยู่ในปาก มีลำแสงออกทางสายตา 555
พัฟฟ์เป๋าฮื้อ (Baked Abalone Puff ) เวลากินเค้าให้กินคำเดียวเลย เป๋าฮื้อเบิ้มๆนุ่มๆ เข้ากับเนื้อพายละลายในปากเลย เป็นเมนูที่ได้รสชาติตะวันออกผสมกับรสชาติกับตะวันตกอย่างลงตัว น่าจะเป็นเมนูประยุกต์นะครับ อร่อยดี
ไข่หอยเม่น
เมนูนี้คือสำหรับผมคือที่สุดครับ ถ้าใครเคยกินไข่หอยเม่นแบบดีๆคือจะรู้เลยว่ามันฟินมาก มันจะหอมมันๆคลุ้งๆในปาก ส่วนเนื้อด้านล่างจะเป็นอารมณ์ไส้ติ่มซำอะครับน่าจะหมูผสมกุ้ง
น้ำเต้าไส้ปู
อันนี้จะเป็นแป้งหนึบๆหน่อยครับ ส่วนไส้จะเป็นปูผสมครีมๆกึ่งมายองเนสหน่อย อันนี้ธรรมดาอะ
ปิดท้ายด้วย ซาลาเปาน้ำหมึก
ซาลาเปาไส้หมูแดงสุดอร่อย เนื้อนอกตรงสีดำจะนุ่ม(ผสมน้ำหมึก) แต่ถูกเคลือบด้วยแป้งทอดกรอบ เป็นการเพิ่ม texture ให้กับอาหาร ( ตอนผมบรรยายมีคนแซวว่าไปเป็น food blogger ได้เลย เข้าขั้นละ ฮิๆพอดีดู master chef บ่อยครับจำเค้ามา )
คืออิ่มจนท้องจะแตก แต่ก็อยากกินของหวานเลยถามดูว่ามีซาลาเปาไส้ไหลไหม คือเมื่อวานยังฟินกับร้านนั้นอยู่ คำตอบคือ “มันธรรมดาไปโรงแรมเราไม่ทำครับ” เงิบไปกับคำตอบสิบตลบ
เวลาชิลกับคนชิล
. โอเคได้เวลา Free time ออกเดินเที่ยวชิลกันอีกครั้ง คราวนี้ผมให้เกียรติพี่หมอยุ่งเป็นผู้นำทางครับ (จริงๆคือกลัวพาทุกคนหลง 55 ) พี่หมอยุ่ง พาพวกเราเดินเป็นวงกลม ลัดเลาะจิมซาจุ่ย – Victoria Harbour – Harbour City – Kowloon Park เส้นทางก็ประมาณนี้ครับ
. ไม่ต้องสืบครับว่าสายชิลอย่างผมจำเส้นทางได้ไหมว่าอะไรคืออะไร .. ตอบด้วยความมั่นใจว่า “ไม่” เอาเป็นว่ามันอยู่แถวๆนั้นที่เขียนไปหน่ะ ข้อมูลมั่วบ้างไรบ้าง
. เดินเม้าส์มอยกันแอดมินจาก 4 เพจ 4 สไตล์ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกันเยอะเลยครับ ผมมาดูทริปนี้ผมถ่ายรูปมาน้อยมากๆเพราะว่าเวลาส่วนใหญ่ในทริปผมได้พูดคุยกับคนเก่งๆรอบตัว ทุกคนก็มีใจให้ไม่มีกั๊กมีหยิ่งใส่กันเลย สนุกมากๆสงสัยทำบุญมาดี ไปทริปไหนก็ชิลตลอด
. เดินกันจนสุด Victoria Harbour แถวนั้นมีร้านมะม่วงเจ้าเก่า ‘Hui Lau Shan’ ร้านนี้มีสาขาเยอะครับไปไหนก็เจอ สมาชิกแก๊งเราอยากกินฮะ จัดไปเลยผมอ่านมามีคนแนะนำว่าพุดดิ้งมะม่วงอร่อย (แต่ต้องกินที่ร้านเท่านั้น)
พอนั่งพนักงานก็มาแนะนำเซ็ตใหญ่ครับ แต่คือเราอิ่มแล้วไงครับไป 4 คนก็เลยสั่งไซด์เล็กสุดมาชิมกัน
…พนักงานไม่รับออเดอร์ครับผู้ชม…
เห้ยคืออเมซิ่งฮ่องกงมากๆ มาน้อยสั่งไซด์เล็กพนักงานไม่รับสนใจครับเดินไปโน้นเลย !
“เออ เอาก็เอาวะไซด์ใหญ่ก็ใหญ่” พอเราสั่งไซด์ใหญ่เธอยิ้มออกมาสะงั้น
ขนมมาเสริฟแล้วครับ หน้าตาดูดี ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึงครับ อร่อยจนลืมโกธรพนักงานต้อนรับไปเลย ชิลชวนชิม confirm!
. เดินตามพี่หมอยุ่งไปเรื่อยๆถึง Harbour City ครับห้างชื่อดังที่ต้องถูกบรรจุใน check list คนไทยส่วนใหญ่ที่มาฮ่องกง มีแทบทุกแบรนด์ที่ต้องการอยู่รวมกันในห้างนี้ ผมไม่ได้ช็อปอะไรก็ถ่ายรูปอะไรเรื่อยเปื่อย
หมดเวลาสนุกแล้วสิ
ได้เวลานัดแก๊งชาย 4 หมี่เตี้ยวเดินกลับที่พักกันครับ ลองเปิดแผนที่แล้วมันน่าจะเดินผ่านสวนไปได้ บรรยากาศวังเวงมากครับตอนเข้าไป
“แอดมิน 4 เพจดัง หลงป่าในฮ่องกง” แหมถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็คงไม่ตลกนะครับเนี้ย
พอเราเจอบันไดขึ้นก็เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆครับ Kowloon Park นี่สร้างความปะหลาดใจให้ผมหนักเลยครับ นอกจากจะเป็นสวนแล้วก็ยังมีสนามฟุตซอล มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ใจกลางป่าคอนกรีตที่มีชื่อว่าฮ่องกงนี้สะด้วย เราเดินทะลุไปเรื่อยๆครับเดินกางร่มเป็นพระเอก MV กันไปจนทะลุย่านที่พัก จากนั้นผมเก็บกล้องเก็บเกี่ยวความประทับใจผ่านสายตา และการพูดคุยกับคนเก่งๆทั้งหลายรอบตัวผม จนถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
เป็นอันครบสูตรโรงเรียนฮ่องกง ด้วยการวางแผนที่ดีมีเวลาเพียงแค่ 3 วัน 2 คืนก็สามารถเต็มอิ่มกับฮ่องกงได้ถึงขนาดนี้ครับ ผมต้องขอบคุณบริษัทวางแผนการเงิน “A-LIFE” หรือ บริษัท แอดว๊านซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และทีมงานเอไลฟ์ทุกคนที่ดูแลและมอบความทรงจำดีๆให้กับผม รวมทั้งเพื่อนๆพี่ๆทุกคนที่เราไปร่วมทริปด้วยกันครับ ทุกคนเป็นกันเองและเต็มที่ให้กับทริปนี้จริงๆครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท A-life ลองดูได้ที่นี่นะครับ
Website : http://www.alife.co.th
Fanpage : http://www.facebook.com/AdvanceLifeAssurance.Thailand
ขอจบทิ้งท้ายแบบหล่อๆนิดหนึ่งอันนี้อยากแชร์ให้ฟังนอกจาก กิน กิน แล้วก็กินแล้ว ทริปนี้ผมได้มุมมองใหม่กลับมาเพิ่มอีกเยอะมากกกกก อันนี้ยกมาให้ตัวอย่างหนึ่ง ระหว่างเดินเล่นผ่านฝนพร่ำตรงแถว Victoria Harbour ผมได้คุยกับ คิ้วต่ำ แอดมินเพจเกือบล้านที่ไม่น่าเชื่อคือพวกเราอายุเท่ากัน เรียนจบมหาลัยเดียวกัน คณะตรงข้ามกัน! มีประโยคหนึ่งที่คิ้วต่ำทำให้ผมถึงกับหยุดกึ๊กแล้วต้องคิด
“เออเราว่านะ คนที่มาถึงที่แล้วบอกว่าเฟล ฟ้าปิด ฝนตกอะไรเนี้ยเค้าคิดไม่ถูก”
.
“เพราะเค้าโชคดีตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงแล้วตังหาก”
ตึ่ง!! จบหล่อไปจนไปต่อไม่ถูก ขอฝากร้านดื้อๆเลย ชวนแวะเวียนไปอ่านบันทึกการเที่ยวชิลๆ รวมทั้งเทคนิคดีๆกับการเดินทางได้ที่ http://www.facebook.com/ChillJourney ขอบคุณคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ครับ 🙂
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!