ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไปเท่าไหรก็ไม่เบื่อ! เป็นประเทศที่สวยแล้วสวยอีก สวยทุกฤดู สวยทุกเมือง สวยทุกภาค รีวิวนี้จะพาทุกคนไปเจอบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีในเกาะฮอกไกโดกันให้แสบตา จากสีสันเขียวเหลืองแดงใบไม้เปลี่ยนสี และวิวเด็ดๆจากเกาะฮอกไกโดที่ขนกันมาบอกว่าเกาะชั้นนี่ก็สวยไม่แพ้ใคร !

 

 

3 เรื่องต้องรู้ก่อนออกเดินทาง

  1. นั่งรถไฟหรือเช่ารถขับ?

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคมนาคมสาธารณะดีมากก็จริง แต่สำหรับเกาะฮอกไกโดนั้นรถไฟจะครอบคลุมเฉพาะเมืองใหญ่เท่านั้น ในส่วนของเมืองย่อยๆหรือสวนดอกไม้ที่เราอยากไปชมหรือจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆนั้นรถไฟหรือรถสาธารณะจะไปได้ค่อนข้างยาก หรือถ้ามีก็ใช้เวลารอรถนานมากจัดการเวลายาก ถ้ากรณีที่ไปกันหลายคนและมีคนขับรถเป็นแนะนำให้เช่ารถขับจะสะดวกที่สุด

 

  1. ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด อยู่ช่วงไหน?

โดยปกติแล้วใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนสีจากด้านบนประเทศไล่ลงมาเรื่อยๆโดยปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณกลางเดือนกันยายน แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปในแต่ละปีนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะอย่างปีนี้ชิวไปตอนกลางเดือน ตค. ซึ่งตรงกับเวลาใบไม้เปลี่ยนสีพอดีเลยครับ ดังนั้นถ้าจะจองตั๋วล่วงหน้าก็ต้องวัดใจกันหน่อย หรือถ้าให้ชัวร์แบบอยากเห็นใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆชัวร์ๆเลยก็เช็คพยากรณ์ของปีนั้นก่อนสัก 3 เดือนล่วงหน้าจะค่อนข้างแม่น แล้วค่อยจองตั๋วเครื่องบิน

 

3. อย่าลืมซื้อประกันเดินทาง

แต่ก่อนทุกคนที่จะไปญี่ปุ่นต้องซื้อประกันเดินทางเพื่อทำวีซ่า ปัจจุบันฟรีวีซ่าแล้วแต่ผมอยากย้ำเตือนอีกครั้งซ้ำๆ ว่าประกันเดินทางคือสิ่งจำเป็น จำเป็นระดับเดียวกับเสื้อกันหนาว โดยเฉพาะการไปเที่ยวทั้งครอบครัวอย่างเรามีทั้งหลานตัวเล็ก ( 3 และ 7 ขวบ ) รวมทั้งแม่ผม ที่อายุ 67 ปีแล้ว ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่มีโอกาสป่วยได้ง่ายกว่ามาก ค่ารักษาพยาบาลในญี่ปุ่นก็แพงสุดๆๆๆ  ส่วนตัวผมเองก็ทำประกันเดินทางทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะเจอเรื่องอะไรบ้าง

ทั้งหมดนี้สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ด้วยเงินหลักร้อย ช่วงที่ผมไปผมไล่ค้นดูประกันเดินทางหลายๆเจ้าและตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ จุดนี้คือ TIPINSURE (ทิพยประกันภัย) คุ้มครองครบถ้วนในสิ่งจำเป็น และราคาถูกที่สุดเท่าที่ชิวไล่ดูแพคเกจ  เป็นแพคเกจที่คุ้มครองถูกที่สุดในตลาด  ตอนนี้โดยเฉพาะแพคเกจครอบครัว พ่อแม่และลูกอีก2คน ชิวซื้อให้ครอบครัวพี่สาวไป 10 วันจ่ายแค่ 499 บาทเท่านั้นเองครับ ถูกมากกกกกก

 

เพียงเข้าผ่านลิงค์ https://bit.ly/2UTZLaQ

กรอกโปรโมชั่นโค้ด : ChillJourney ลดเพิ่มอีก 5% (จากราคาที่แสดงบน www.tipinsure.com)

 

เมื่อซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ ดังนี้

600-1,199 บาท รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 100 บาท

1,200-1,799 บาท รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 200 บาท

ตั้งแต่ 1,800 บาท ขึ้นไป รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 300 บาท

ระยะเวลาโปรโมชั่น : 1 – 31 ธค. 2562

 

วิธีการซื้อง่ายมากแค่เข้าเว็บ https://bit.ly/2UTZLaQ กรอกสถานที่ปลายทางที่เราจะไป เลือกจำนวนคน และวันที่เดินทาง กรอกข้อมูลพื้นฐานเพียง 5 นาทีก็ได้กรมธรรม์ผ่าน Email แล้วเริ่มคุ้มครองทันทีครับ !

 

เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วก็ตามไปเลยจ้า และ นี่คือแผนเที่ยวและรีวิวการเที่ยวทั้งหมด 8 วันเต็มของเราในฮอกไกโด !

DAY1 :  Chitose – Farm tomita – Shikisai no oka – Asahikawa

ทริปนี้เราบินด้วยสายการบิน ANA ไปต่อเครื่องที่ Haneda ก่อนบินอีกรอบมาถึงสนามบินชิโตเสะ ( CTS ) ตอนประมาณ 9 โมงจากนั้นก็ไปรับรถเช่าที่จองมาผ่านเว็บ Tocoo! จัดเรียงกระเป๋าหลายใบเข้ารถ ให้พนักงานสอนใช้ GPS ก็เป็นอันเรียบร้อยพร้อมลุย!

โดยแผนวันนี้เราจะวิ่งขึ้นไปเที่ยวพวกสวนดอกไม้และใบไม้เปลี่ยนสี แถบเมือง Furano แล้วไปนอนค้างที่ Asahikawa ระยะทางยาวทีเดียวครับสัก 300 กิโลเมตรได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรเลยกับการขับรถเพราะเราขับรถยิ่งขับรถขึ้นด้านบนใบไม้เปลี่ยนสีก็ยิ่งสวยขึ้นสวยขึ้น ตื่นตาตลอดทางเลย ( ใบไม้เปลี่ยนสีจะเปลี่ยนจากด้านบนลงด้านล่าง )

วิธีขับในญี่ปุ่น ใช่เรื่องยากเลย ใส่เบอร์โทรศัพท์สถานที่ปลายทางไปแล้วขับรถตามระบบ GPS ของรถได้เลย แผนที่ของรถญี่ปุ่นคือแม่นมากๆ ต้องเลี้ยวทางไหนอะไรมันบอกหมดเลยละเอียดกว่า google map อีกรับรองว่าถ้าเพื่อนๆขับรถในไทยได้ สามารถขับที่ญี่ปุ่นได้แน่นอนไม่ต้องกังวล!

จุดแรกที่เราไปแวะเที่ยวคือ Farm tomita  เป็นฟาร์มชื่อดังที่เราสามารถเข้าชมสวนของเค้าได้ฟรีเลยครับ สวนเค้าจะปลูกดอกไม้หมุนเวียนกันทั้งปี เพื่อนๆมาสามารถมาได้ทุกฤดูเลย มาแวะถ่ายรูปสวนดอกไม้สวยๆ แล้วอย่าลืมชิม soft cream ของสวนนี้ด้วยนะ อร่อยใช้ได้เลย

ขับรถต่ออีกสักประมาณ 25 นาทีก็จะถึงสวนที่น่าจะดังที่สุดในเมือง Furano แบบว่าใครไม่มาถือว่ามาไม่ถึงเลยชื่อว่า Shikisai no oka  อันนี้ถ้าเราเข้าชมไปถ่ายรูปเฉยๆก็ไม่มีค่าเข้าเช่นกัน สวนนี้สวยมากกกกกกกก เค้าปลูกดอกไม้ตามทิวเขาไล่สีไล่เฉดกันดีงามมาก สมแล้วกับความเป็นสวนที่ดังสุด บอกเลยว่าต้องมา!

DAY2 :  Tokiwa park – Kamuikotan – Mizusakawaju orchards – Sapporo

เมื่อคืนเรามาค้างที่เมือง Asahikawa จริงๆเมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสองของเกาะ Hokkaido เลยนะแต่… ไม่ค่อยมีที่เที่ยวเท่าไหร 555  ดังนั้นแผนเช้านี้คือเราจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Tokiwa park  สวนนี้เข้าฟรีเช่นกันอยู่กลางๆเมืองเลยใกล้ๆโรงแรมเราเอง

ใบไม้เปลี่ยนสีสวนนี้กำลังสวยทีเดียวววว จากสวนธรรมดาบ้านๆพอใบไม้แข่งกันไล่สีแล้วมันก็จะพิเศษ พิเศษประมาณนี้!

จากนั้นขับรถออกนอกเมืองตั้งพิกัดไปที่ Kamui kotan ตรงนี้แนะนำว่าต้องมาอย่างที่สุดเลย บรรยากาศดีมาก มีสะพานไม้ มีน้ำ มีภูเขา และ มีใบไม้เปลี่ยนสี !  เป็นจุดที่ใครๆก็ต้องมาจริงๆชิวแนะนำ

หลังจากเราฟินกันสุดๆกับใบไม้เปลี่ยนสีทั้งภูเขาที่ Kamui kotan แล้วใกล้ๆกันแล้วใกล้ๆกันจะมีสวนแอปเปิ้ลอยู่ครับชื่อ Mizusakawaju orchards ที่เราสามารถไปทำกิจกรรมเก็บแอปเปิ้ลได้ หรือถ้าไม่เก็บก็ไปซื้อแอปเปิ้ลสดๆจากสวนเค้าได้เลยเช่นกัน  นอกจากจะถูกกว่าซื้อข้างนอกแล้ว รสชาตผลไม้ที่เก็บสดๆจากสวนก็อร่อยหวานหอมมากๆ คือชิวไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผลไม้ที่ญี่ปุ่นมันอร่อยอะไรขนาดนั้น แทบทุกอย่างเลย นอกจากความหวานฉ่ำแล้วผลไม้ของญี่ปุ่นจะหอมมากๆๆๆๆๆๆๆ แบบที่ผลไม้จากชาติไหนก็ตามก็ไม่หอมเท่า

ซื้อแอปเปิ้ลแล้วก็ขับรถขึ้นทางด่วนกลับ Sapporo กันยาวๆเลยขากลับก็ประมาณเดิมคือ 3 ชั่วโมงมาถึงที่ Sapporo ช่วง 3-4 โมงละชิวก็เข้าที่พักแล้วเดินเที่ยวต่อเลย สำหรับที่พักใน Sapporo 2 คืนเราเลือกนอนกลางถนนช็อปปิ้งเลยครับชื่อ karaksa hotel   จากที่โรงแรมเราสามารถเดินเที่ยวสถานที่สำคัญของเมือง Sapporo ได้ทั้งหมดเลย

วันนี้พวกเราเดินเที่ยวที่ถนนคนเดิน Tanuki Koji เป็นถนนกินเที่ยวช็อปเปิดถึงดึกดื่น มีหลังคา รวมทั้งจะมีทางเชื่อมไปยังทางเดินใต้ดินด้วย ซึ่งที่ใต้ดินก็มีที่กินเที่ยวช็อปอีกเป็นแนวยาววววววววววเลย  พวกเราก็เดินเรื่อยๆกันครับเดินไปทะลุถึง Sapporo TV tower เลยแล้วขึ้นไปชมวิวจากด้านบนนั้นด้วย

ไอศกรีมและชีสเค๊กร้านนี้ดีมากกกกกกกกกกก KINOTOYA BAKE อร่อยและไม่แพงด้วย

 

DAY3 : Jozankei onsen – Asahiyama memorial park – Sapporo

วันที่สี่แล้วเรายังออกตามล่าดูใบไม้เปลี่ยนกันต่อวันนี้จะทำ DAY Trip ขับรถออกไปเที่ยวที่เมือง   Jozankei onsen ที่เมืองนี้อยู่ห่างออกไปจาก Sapporo ประมาณแค่ 40 นาทีเอง แต่ด้วยความเป็นเมืองในหุบเขาอยู่ในพื้นที่สูงกว่า ใบไม้เปลี่ยนสีสวยพอดีเราก็เลยขับรถไปชมกัน ซึ่งต้องบอกว่าสวยอีกแล้ว!!

จุดถ่ายรูปยอดนิยมคือจากบนสะพานอันใหญ่ๆ ชิวเรียกไม่ถูกเหมือนกันแต่มีอันเดียวและรับรองว่าเพื่อนๆหาเจอแน่นอน เพราะทุกคนก็ต้องไปเดินบนสะพานนั้นล่ะ จากสะพานจะถ่ายกลับไปเห็นต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองบ้างส้มบ้างแดงบ้าง พร้อมสายน้ำและฟ้าสีสวยๆ รับรองว่าจะประทับใจแน่ๆ

ไปต่อที่เป็นจุดที่ชิวชอบที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้คือ การไปดูวิวมุมสูงจากเมือง Sapporo ที่ Asahiyama memorial park อันนี้ชิวแทบไม่เจอรีวิวคนไทยพูดถึงเลย แต่ผมลองไป search หาจุดชมวิวของเมือง Sapporo มาก็สะดุดตากับวิวของที่นี่ มันดูสวยลงตัวมากๆ วิวสวนลอยฟ้าที่มองเห็นเมืองทั้งเมือง และที่สำคัญไม่เสียค่าเข้าและไม่ต้องขึ้นกระเช้าอะไรใดๆทั้งสิ้น ขับรถถึงเลยอีกตังหาก!

แนะนำมากสวยมากครับ และเชื่อว่าหลังจากรีวิวนี้ปล่อยออกไปคนไทยคงได้มีโอกาสมาเที่ยวจุดนี้กันเยอะขึ้นนะ ดูวิวกันจนเต็มอิ่มถ่ายรูปกันไปร้อยกว่าช็อตแล้วกลับไปเที่ยวเก็บตกเมือง Sapporo ที่เหลือกันนั่นคือ Former hokkaido goverment / Sapporo clock tower / Sapporo TV tower และช็อปต่อที่ถนนคนเดินเส้นเดิม Susukino &Tanukikoji street

 

DAY4 : Shiroi kobito park – Otaru

ฮอกไกโดกับขนมและซอร์ฟครีมเป็นของคู่กัน! เราจะบุก บุก บุก โรงงานช็อคโกแลตของแบรนด์ขนมอันดับหนึ่งของฮอกไกโดนั่นคือ ชิโรอิโคอิบิโตะ เราเชื่อว่าเพื่อนๆต้องเคยเห็นและได้ชิมกันมาบ้างแล้วล่ะถึงความอร่อยของคุกกี้สอดไส้ไวท์ช็อคโกแลตชื่อดังแบรนด์นี้ เพราะไม่ว่าใครๆไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ต้องซื้อกลับมาเป็นของฝากกันทุกคน และที่พิเศษไปกว่านั้นที่นี่มีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะมาก เหมือนหลุดเข้าไปในธีมพาร์คโลกเจ้าหญิงเจ้าชายในการ์ตูน รับรองว่าไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ วัยไหนก็ชอบ  และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมด้วยนะ

ที่เด็ดสุดๆคือซอร์ฟครีมของเจ้านี้ อร่อยมากกกกกกกกกกก แนะนำว่าต้องโดน!

ขับรถต่อสู่เมืองที่ดังสุดในฮอกไกโดแล้วมั้งในหมู่คนไทยคือ Otaru  โอตารุเป็นเมืองท่าที่สวยงาม และมีทีเด็ดที่ถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านขนมเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เรียกได้ว่าถ้าคุณเป็นสายขนมนมเนย คุณจะล้มละลายได้เลย ณ ถนนสายนี้ !

 

สำหรับ List ที่ต้องโดนเมื่อมาเยือนก็ตามนี้เลยจ้า Otaru aquarium / Otaru music box museum / Marchen square / Otaru canal  รวมทั้งร้านขนมหวาน LeTAO อันเลื่องชื่อที่ต้องไปจัดชีสเค๊กของเค้า

เดินกันเพลินๆยาวๆไปก่อนปิดท้ายกันที่คลอง Otaru ตอนช่วง Twilight ที่ต้องบอกว่าสวยงามคุ้มค่ากับการรอคอยช่วงเวลาจริงๆ

ก่อนกลับโรงแรมก็แวะโซ้ยร้าน LeTAO อันเลื่องชื่อสักหน่อย  ชิวว่าก็อร่อยอยู่นะแต่ต้องคนชอบกินชีสหน่อยครับ เพราะรสชีสจัดมากๆมากกว่าชีสเค๊กอื่นๆทั่วไปเยอะเลย

 

DAY5 : Yamanaka Dairy Farm – Mount Yotei – Niseko – Kita yusawa – Toya lake

วันนี้แผนคือขับรถท้างงงงวันเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีไปเรื่อยจนไปค้างที่ Toya lake ครับผม ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่เกินคาดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่คิดว่าเส้นทางนี้จะสวยขนาดนี้เลยจริงๆ แนะนำให้ขับตามเส้นทางนี้เลยชิวการันตีว่าเลิศ!

จาก Otaru จิ้มเส้นทางไปที่ปลายทางฟาร์มนม Yamanaka Dairy Farm เลยครับจะขับรถผ่านจุดชมวิวที่มองกลับไปเห็นเมือง Otaru ทั้งเมืองเลย พร้อมใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ไม่ต้องเสียเงินไปขึ้นกระเช้าเลยเราได้เห็นวิวเดียวกันเปี้ยบ!

จากนั้นขับไปอีกนิดเดียวก็จะเจอร้าน Yamanaka Dairy Farm แล้วที่นี่มีขายซอร์ฟครีมนมเด็ดๆ และ ที่เด็ดกว่าก็คือนมสดๆของเค้านี่แหละ มันอร่อยมากจริงๆๆๆๆๆ กินนมเปล่าๆก็ฟินแล้วอะ นมเนื้อเข้มข้นมากหวานหอมสุดๆ

จากนั้นนนนนนนนนนก็เปลี่ยนแผนนิดหน่อยเพราะพี่สาวผมติดตามเพจฮอกไกโดแฟนคลับเค้าอัพเดทว่าที่ Kita yusawa ตอนนี้ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังพีคเราเลยขับรถเลยไปเที่ยวถ่ายรูปเล็กน้อย พูดตรงๆเมืองนี้ไม่มีอะไรจริงๆถ้าไม่มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆก็ไม่ต้องมาก็ได้ แต่เราไปตอนมันสวยไงก็เลยสวยยยยยย

พอถึงเย็นๆเราก็เข้าพักที่เรียวกังริม Lake toya  ซึ่งอันนี้บอกเลยว่าสวยเลอค่ามากทุกคนนนนนน ตอนแรกไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะสวยขนาดนี้นะเจ้า Lake toya เนี้ยโรงแรมก็ดี วิวก็ดี ออนเซ็นก็ดี ราคาไม่แพงอีกตังหาก เลิศสุดๆ แนะนำเลย

DAY6 : Noboribetsu – Onuma park – Hakodate

ข้อดีของการเช่ารถขับคือแผนเราสามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกวันตามลายแทงใบไม้เปลี่ยนสี วันนี้เราตามลายแทงไปที่ Noboribetsu เมืองออนเซ็นที่อยู่ใกล้กับ Lake Toya ไปชมหุบเขานรก ที่สวยงามและเป็นหนึ่งในฉากหนังแฟนเดย์ด้วยล่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวังครับผม สวยงามมากๆใบไม้เปลี่ยนสีที่นั่นก็สวยเลิศเลย ชิวใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งวันในการชื่นชมสถานที่แหนะ

 

เราอยู่กันถึงประมาณช่วงเที่ยงแล้วขับรถกันยาวๆเลยประมาณ 3-4 ชั่วโมงระหว่างทางก็แวะพักทานข้าวด้วย และมาถึง Onuma park อุทยานที่อยู่ห่างจาก Hakodate ไปทางตอนเหนือสัก 30 นาที ที่นี่ก็สวยเหมือนกันนะ มีฉากหลังเป็นภูเขาด้วย ถ้ามีเวลาก็แนะนำให้แวะมาเที่ยว

 

DAY7-8 : Hakodate

วันสุดท้ายเป็นการเก็บตกเที่ยวเมือง Hakodate กันต่ออีก 2 วันโดยเริ่มต้นที่การขับรถขึ้นไปชมวิวที่ Mount Hakodate ถ้าเพื่อนๆเช่ารถขับแบบชิวสามารถขับรถขึ้นไปได้เลยนะ ไม่ต้องขึ้นกระเช้าประหยัดเงินไปได้เยอะมากกกกกก เพราะค่ากระเช้าอย่างเดียวก็คนละ 1200 เยนแล้ว

ต่อด้วยย่าน Hakodate bay หรือหลายๆคนเรียกย่าน Red brick โกดังเก่าสีแดงที่ถูกนำมาปัดฝุ่นกลายเป็นสถานที่เที่ยวที่ถ่ายรูป ชื่อดัง

และที่ห้ามพลาดแบบกาดอกจันตัวโตโต คือการกินข้าวหน้าปลาดิบสดๆอร่อยๆที่ตลาดเช้า! ชิวแนะนำร้านชื่อว่า Cham seafood restaurant เป็นร้านเล็กๆที่ได้รับคะแนนรีวิวเยอะมากกกกกก การันตีว่าอร่อยจริงไม่ผิดหวังแต่อาจจะต้องรอนานหน่อยนะครับ เพราะเป็นร้านเล็กมากจริงๆ แบบรับได้ทีละ 10 ท่านเท่านั้น ^^ จริงๆแล้วฮาโกดาเตะยังมีสถานที่เที่ยวอีกหลายที่ครับเป็นเมืองที่ดีงามมากๆสามารถเที่ยวได้ 2 วันเต็ม ซึ่งชิวเคยเขียนรีวิวแบบละเอียดๆไปแล้ว สามารถอ่านได้ที่ลิงค์นี้เลยนะ

เมือง Hakodate เมืองท่าบรรยากาศดี้ดี ถ่ายรูปเก๋ อาหารอร่อย ต้องห้ามพลาด!

P1290145_Blog

 

สำหรับทริปขับรถเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีทั้ง 8 วันในฮอกไกโดของชิวก็ประมาณนี้ โดยรวมชิวคิดว่าโปรแกรมค่อนข้างลงตัวและสบายเวลาหลวมๆสามารถไปได้ทุกวัย อย่างทริปนี้ชิวก็มีทั้งแม่ผมที่อายุมาก และ หลานๆวัยเด็กน้อยก็สามารถไปได้อย่างสะดวกสบาย เอาแผนนี้ไปลอกได้เลย!

ติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::

Instragram :@ChillJourneyTH
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney

Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!