ก่อนอื่นผมต้องขออภัยทุกท่านที่เคยติดตามรีวิวชุด สวิส-อิตาลี 17 วันของผม มันยาวนานมากกกกก ผมไปมาตั้งแต่สงกรานต์แล้วนะครับ วันนี้ได้ฤกษ์มาเขียนรีวิวอิตาลีพาร์ทแรก 4 เมืองก่อน Milan – Como – Verona – Venice
ข้อมูลควรรู้ก่อนไปอิตาลี
การเดินทางภายในประเทศให้ประหยัด
– รถไฟอิตาลี ไม่ต้องซื้อตั๋วเหมาให้ซื้อเป็นเที่ยวๆ โดยจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 เดือนจะได้ราคา economy , super economy ซึ่งถูกไปประมาณ 50-60% เลย จองผ่าน www.trenitalia.com ปริ้นไปขึ้นรถไฟได้เลยไม่ต้อง validate ( ระวังซื้อผิดวันแบบผมนะ refund ไม่ได้ทิ้งอย่างเดียวครับ )
– ในอิตาลีตั๋วเหมาเป็นอะไรที่คุ้มนะ เช่น Verona card , Venice 48 hr. , Metro rome 48 Hr.
อาหาร
– ที่อิตาลี อาหารไม่แพงมากพอรับได้ พิซซ่าชิ้นละประมาณ 2.5 – 3.5 EU ก็อิ่มนะครับ อย่าเข้าร้านอาหารก็พอ เพราะตามร้านมื้อละประมาณ 10 EU เป็นต้นไป ซุปเปอร์ที่เราค้นพบว่าของถูกชื่อว่า PAM ครับ ถ้าพักโฮสเทลมีครัวซื้อมาทำเองประหยัดโคตรๆครับ
– น้ำ กินจากน้ำก๊อกเอาครับ น้ำประปาสามารถทานได้ รวมทั้งน้ำพุตามเมืองต่างๆที่อิตาลีก็กินได้เช่นกัน
– Gelato หรือ ไอติมที่อิตาลีอร่อยมากกก ปกติผมทานประมาณ 3 scoop โคนละประมาณ 2.5-5 EU แม้จะประหยัดแต่อันนี้ยอมกินวันละ 1-2 แท่ง บางทีกินแทนข้าวเย็น ( หมดค่าไอติมไปประมาณ 40 EU !! )
ที่พัก
ผมนอนโฮสเทลที่เน้นทำเลดี ได้Ratingดี ไม่ได้เน้นถูกที่สุดหรือถ้ามีโรงแรมที่หารแล้วแพงกว่า hostel นิดเดียวทำเลยังดีอยู่ผมก็จะจองโรงแรมครับ
นี่คือที่พักของผมทั้งหมด รีวิวที่พักสั้นๆ ผมว่าโอเคสอบผ่านทุกที่ สะอาดทุกที่ครับ
Italy
Milan – The Monastery Hostel << ถูก , ทำเลดีใกล้ metro , ห้องใหม่เพิ่ง renovate , มีครัว
Como – Lake Como Hostel << ห้องเก่า เตียงเห่ย แต่staffดีมาก บรรยากาศ backpacker สุดๆชอบมากกกก
Verona – Residence Romeo and Juliet << เป็น BB ที่ดีมาก แต่ต้องหาคนแถวนั้นโทรหาเจ้าของให้
Venice – Hotel Vidale * 2 night << ที่พักในเวนิสจะแพงมาก ถ้าประหยัดให้พักอยู่แถว venice mestre รร.นี้เก่า แต่ทำเลดี ใกล้ห้างขายของถูกมาก และนั่งบัสสายเดียว 15 นาทีถึงเวนิสเลย
Florence – Wow Florence Hostel * 2 night << ไกลหน่อยเดินสัก 1.5 กิโลจากสถานี ภาพรวมโอเค
Clique torre – Luciano ( Riomaggiore ) << ทำเลดี แต่ตำแหน่ง GPS ใน booking ไม่ตรง เดินขึ้นเขาลงเขา 1 ชั่วโมง…แทบตาย
Rome – Hostel Carlito * 2 night << ทำเลดีใกล้ metro มาก , เตียงดีมาก , ข้อเสียคือไม่มีล็อคเกอร์ , ไม่มีครัว
Day6 Milan
. ขอเท้าความนิดหนึ่ง… จากรีวิวก่อนผมเขียนถึงเมือง Zermatt ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จบสวิส 5 วันผมก็ข้ามมาต่อด้วยอิตาลีอีก 10 วันเต็มก่อนกลับไทย
. บ่ายแก่ๆเราขึ้นรถไฟจากสถานี Zermatt ต่อไปยังเมือง Brig สถานีขนาดใหญ่ที่เราต้องเปลี่ยนรถไฟเป็นขบวน Intercity เพื่อนั่งข้ามไปยังอิตาลี แต่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟที่เราซื้อตั๋วมาในราคาถึง 3,000 บาท มันเสีย! แล้วประกาศให้ทุกคนลงจากรถ อ้าว… “ Shift หาย”
. ผู้โดยสายกำลังแตกตื่น ผมไล่ถามหลายคนก็ไม่มั่นใจ ลากตัวเองกลับไปถามที่เค้าเตอร์ขายตั๋วโน้น หลังผ่านความวุ่นวายมาได้เป็นอันว่าเราต้องขึ้นรถขบวนถัดไป “โดยไม่มีที่นั่ง” เชี้ยสส เงิน 3,000 บาทตู พวกเรานั่งพื้นมาตลอด 3 ชั่วโมงจนมาถึงเมืองมิลาน ตอนเกือบ6โมงเย็น ดีเลย์กว่าที่คิดไว้ 2 ชั่วโมงกว่า โปรแกรมตัดทิ้งหมดแพลนไว้ว่าให้ได้ไปดู Duomo ก็พอ
พอถึงแล้วก็ รีบนั่งรถไฟใต้ดินไปที่พัก The New Generation Hostel Urban Brera โฮสเทลที่ถูกรีโนเวทใหม่ให้ดูโมเดิร์น เก็บกระเป๋าแล้วนั่งรถไฟไปยัง Duomo ( metro สถานี Duomo )
จาก Hostel เรารีบวิ่งไปยังสถานี metro ใกล้โฮสเทลเพื่อต่อไปสถานี Duomo ขึ้นมาจากสถานีก็พบกับ มหาวิหาร ดูโอโม (Duomo di Milano) เป็นมหาวิหารแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างเมื่อปี 1386 กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลาถึง 427 ปี เชียวนะแต่น่าเสียดายวันที่เราไปปิดซ่อมครับ ก็เลยอดเข้าไปดูข้างในรวมทั้งขึ้นดาดฟ้า
. นอกจากตื่นตะลึงกับมหาวิหารแล้ว เราก็ได้พบกับแก๊งมิจฉาชีพตัวเป็นๆมากมายที่เค้าเตือนๆกันมา ไม่ว่าจะเป็นแก๊งชาวแอฟริกามาหลอกผูกข้อมือแล้วเก็บเงินเอย แก๊งหลอกให้อาหารแล้วนกมาเกาะบนแขนนักท่องเที่ยวเก็บเงินดื้อๆ
. ระหว่างที่ผมกำลังเดินถ่ายรูปอยู่นั้นก็เจอพวกมิจฉาชีพทั้งหลาย ผมมองหน้าพวกนั้นเป็นเชิงว่า “ตูรู้นะเว้ยเอ็งจะทำอะไร” พร้อมทั้งโบกหัวเฮ้ย โบมือว่าไม่เอา พวกนั้นก็ไม่มายุ่งกับผมโจรอิตาลีก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ ไม่ได้จู่โจมอะไร
. ด้านซ้ายของ Duomo จะเป็นห้าง Galleria Vittorio Emanuele II ที่มีชื่อเสียง เข้าได้ฟรี สวยมากๆครับแต่ขอให้ข่มใจไม่แพ้พระเจ้าหลุยและอีกหลากหลายแบรนด์ในนี้ก็พอ เพราะแพงกว่าค่าเข้าไม่รู้กี่สิบเท่า
. แสงตรง Duomo กำลังจะหมดลง แต่แสงตรงข้าม Duomo กำลังสวยพวกเราก็เลยเดินมั่วๆไปทางนั้น ได้ผ่านบรรยากาศเมืองมิลานดูมีชีวิตชีวา สวยงามกว่าที่เรามองว่าเป็นเพียงเมืองทางผ่าน
. บรรยากาศมืดลงพร้อมกับผู้คนออกมานั่งดื่มเหล้าเบียร์ ร้านรวงที่เปิดกลางคืนเริ่มคึกคักมากขึ้น มีคนมิลานมาเปิดหมวกเล่นดนตรีข้างถนน พวกเราเดินต่อกันไปเรื่อยๆแบบไม่ตั้งใจจนถึงปราสาท Sforzesco Castle ที่หมายแรกที่คิดไว้แต่รถไฟเสียเลยตัดออกสะงั้นก็สวยดีครับ
เอาเป็นว่ามาชะโงกทัวร์ที่มิลานเรียบร้อย ฮ่าๆๆๆ
Day7 – Milan – Lake como
เมืองถัดไปเป้าหมายเราคือ Lake como เป็นเมืองริมทะเลสาบที่คนกล่าวขานว่าสวยไม่แพ้ Hattstat ของประเทศออสเตรียเลย เดียววันนี้จะไปพิสูจน์กัน !
วิธีการเดินทาง
นั่งรถไฟ local จากสถานี Milano ไปลงสถานี Varenna-Esino ( คันที่เรานั่งปลายทาง Tirano ไม่มั่นใจมีเส้นอื่นป่าวนะครับ )
การเดินทางภายใน
ส่วนการเดินทางข้ามไปมาระหว่างเมืองเล็กๆรอบทะเลสาบจะมีเรือ ferry ขนาดใหญ่คอยรับส่งนักท่องเที่ยว แต่ละครั้งจะห่างกันประมาณ 30 นาที ถ้าใครกะเที่ยวหลายเมืองก็แนะนำให้ซื้อตั๋ววันไปเลย นั่งสองสามรอบก็คุ้มละ
. Lake como ไม่ใช่ชื่อเมืองแต่เป็นคำเรียกรวมเมืองทั้งหลายที่อยู่รอบทะเลสาบโคโม่ ว่ากันว่าเมืองเหล่านี้สวยงามไม่แพ้เมืองริมทะเลสาบแบบ Hallstatt ที่ส่งเข้าประกวดด้วยประเทศ ออสเตรีย ของแบบนี้คงต้องพิสูจน์ Lake como เป็นทะเลสาบรอบๆทะเลสาบก็จะประกอบไปด้วยหลากหลายหมู่บ้านเราเลือกที่จะไป 3 หมู่บ้านดังนี้ Varenna, Menaggio, Bellagio เวลาเรามีไม่มากก็เลยเลือกที่จะเต็มอิ่มกับการพักผ่อนแต่ละเมืองมากกว่าจะไปชะโงกให้ครบครับ
เริ่มที่สถานีรถไฟมิลานใหญ่โตมากๆ แค่สถาปัตภายในสถานีก็สวยแล้ว ตรงโดมตรงกลางที่รถไฟจอดก็คล้ายๆหัวลำโพงบ้านเราแฮะ
นั่งมาประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงครับ เริ่มต้นที่เมือง Varenna ก่อนเลย เมืองนี้อย่างที่บอกไปว่าเป็นเมืองที่คนมามากที่สุด ก็เพราะมันมีสถานีรถไฟอยู่นั่นเอง เดินจากสถานีเข้ามาไม่ไกลก็จะเจอกับท่าเรือ ซื้อตั๋วให้เรียบร้อยระหว่างรอดูเวลาให้ดีแล้วไปเดินเล่นในเมืองได้ครับ
(เดาว่า ingresso นี่แปลว่าท่าเรือ มั้ง)
ใครหิวตรงท่าเรือก็จะมีร้านอาหารครับ นักเดินทางไส้แห้งอย่างผม …ควักมาม่ามาบีบกินดิบๆเลย
ทางเข้าหมู่บ้านจะเป็นทางเดินเลาะภูเขาไปสัก 500 เมตรก็จะถึงหมู่บ้าน ทางเดินสวยมากๆๆ ไอ้ที่ประหยัดมาตลอดก็มาเสียเงินไร้สาระครั้งแรกก็ ไอศกรีม(เจลาโต้)ที่หมู่บ้านนี้แหละ ไอศกรีมอิตาลีมันแบบว่า อร่อยมากกกกกกก อร่อยจนหลังจากนี้คือกินมันทุกวัน
เสียซิงให้กับของไร้สาระครั้งแรกในทริป ไอศกรีมนี้ประมาณ 3.5 ยูโร
เดินต่อมาเรื่อยๆจะเจอเวิ้งแบบนี้เหมือนภาพที่เคยฝันไว้เลย บ้านเมืองสี earth tone ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสีฟ้า อากาศกำลังสบายๆประมาณ 18 องศา มันชิลจริงๆนะ
มุมมองหมู่บ้านจากเรือเมื่อมองย้อนกลับไป สวยลงตัวมากๆ
วิวหน้าตรงนี้ได้มาจากตอนนั่งเรือกลับจาก Bellagio อลังมากกก
Menaggio
. หมู่บ้านถัดมา คือหมู่บ้านที่พักของเรา Menaggio ถามว่าทำไมถึงมานอนที่นี่ ตอบง่ายๆคือเป็นโฮสเทลเดียวที่หาได้และถูกสุด ชื่อ Lake como hostel คืนละแค่ 800 บาท ตอนเราเข้าไปเจอสภาพโฮสเทลแล้วแบบว่า “เห้ยมันเก่าไปป่ะวะ”
. แต่ด้วยบรรยากาศแบบนี้แต่ใน guest book ดันกลับมีแต่คนเขียนว่า “Best hostel ever” บอกไม่ถูกมันเก่าแต่บรรยากาศมันอารมณ์ไปพักหอพักเพื่อนมากๆ บรรยากาศแบบ Real backpacker และตอนเย็นผมไปนั่งทานข้าวมีโต๊ะที่แปะป้ายว่า “The social table” แต่ละคนเค้าก็คุยกัน เราก็นั่งเงียบๆหน่อย แต่ละคนคือเดินทางมาเยอะมากกกกกกกก มากซะจนเด็กน้อย 20 ประเทศแบบเรานั่งง่อยไม่กล้าพูดอะไรมากเลย อาย
จริงๆหมู่บ้าน Menaggio เราไม่ค่อยมีอะไร แต่จริงๆแล้วมันมีจุดชมวิวที่เห็น lake como ทั้งเมืองเลยนะ ชื่อว่า Balcony of Italy ด้วยนะแต่ตอนนั้นขาเจ็บเลยไม่ได้ไป ถ้าใครสนใจก็ลองค้นดูครับมีคนเขียนรีวิวไว้แล้ว มาพาเดินเล่นหมู่บ้านเล็กๆน้อยๆ ผมไม่ได้ไปไหนไกลเพราะขาเจ็บตั้งแต่ตอนไปลื่นหิมะที่สวิส
และนี่คือวิวตอนเช้าของห้องพักราคา 800 บาท วิวเอาไปเลย 8 พัน
และหมู่บ้านสุดท้ายของ Lake como ที่เราไปกันคือ “Bellagio” หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่สุดในโซนนี้ แล้วก็ฮิตที่สุด นักท่องเที่ยวเยอะ ร้านขายของเยอะ ที่พักเยอะ ( รวมทั้งที่พักแพง ) จุดเด่นของที่นี่คือเมืองเค้าจะปลูกขึ้นไปตามเนินเขา ดังนั้นวิธีการเที่ยวเมืองนี้่ให้สนุกคือ “หลง” …นั่นแหละงานถนัดผมเลย
ผมเดินไปตามตรอกซอกซอยของเมือง Bellagio มีคนบอกไว้ว่าเสน่ห์ของอิตาลีที่คุณไม่ควรพลาดคือการ “หลง” และเดินลัดเลาะตามบ้านเมืองสี Earth tone เหล่านี้ แวะกินพิซซ่า พาสต้า ไอศกรีม ปล่อยเวลาปล่อยใจใช้ชีวิต Slow life ไปเรื่อยๆก็พอ
ผมเดินแยกกับเพื่อนเราแยกกันเดิน หมู่บ้านมันไม่ใหญ่นักแล้วเราก็เดินมาเจอกัน
ชิล : “มึงกูว่าหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหรว่าป่ะ”
เพื่อน : “เออ”
ชิล: “ถ่ายรูปให้กูหน่อย”
เพื่อน : “มึงเพิ่งบอกไม่มีอะไร แล้วให้กูถ่ายรูปให้เนี้ยนะ”
ชิล : “เออ ไว้เป็นที่ระลึกว่ามาถึงแล้วไง 555 ”
ผมนี่นักท่องเที่ยวตัวจริง ก่อนกลับเราก็มานั่งรอแถวร้านค้าริมน้ำนี้แหละครับต่อไวไฟฟรีแถวนี้เล่นเอา
Day 8 – Como – Verona
จาก Como เราก็นั่งรถไฟไปต่อยังเมือง Verona ที่นี่มีเรื่องให้ช็อคสุดๆคือผมจองรถไฟมาผิดวัน เลยต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่เกือบ 2,000 บาท ( รถไฟอิตาลีจองหน้างานแพงมากกกกกก ) รถก็จะวิ่งย้อนกลับไปที่มิลานก่อนแล้วเปลี่ยนขบวนวิ่งไป Verona พอมาถึงเมือง Verona แล้วก็ตามหา Verona card (บัตรเหมาค่ารถ ค่าเข้าเกือบทุกอย่างในนี้) ผมอ่านมาว่าซื้อแล้วคุ้มในราคา 10 ยูโร แต่ตอนผมไปมันขึ้นราคาเป็น 15 ยูโรแล้วนะ
นั่งรถบัสไปที่พักเก็บของแล้วออกมาเจอร้านไอศกรีม เปรี้ยวปากอยากกินเจอเจ้าของบ้านที่เราไปพักออกมาจากร้านนั้นพอดี
“ร้านนี้อร่อยสุดใน Verona เชื่อผม” เฮ้ยคน local บอกขนาดนี้จะพลาดได้ไงครับจัดมา แล้วมันโคตรอร่อยจริงๆ ร้านตามนามบัตรเลย Ballini ( google map มีชื่อ Gelateria Ballini )
กินเสร็จเราออกสำรวจเมืองเดินสะพานข้ามแม่น้ำมุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองจุดแรกที่เราพบคือพิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่าง
“อะไรไม่รู้หว่ะ เข้าแล้วกันมีบัตรเบ่งหนิใช้ให้คุ้ม”
พวกเราเดินเข้าไปชมเสพอาร์ต ภาพเขียน รูปปั้น ในพิพิธภัณฑ์ Verona ที่ได้ไม่ถึงสิบนาทีก็เดินออก มันไม่ใช่แนวพวกเราจริงๆ
มาทราบทีหลังมีชื่อว่า Palazzo della Regione ปัจจุบันเป็นแกลอรี่ที่แสดงงานศิลปะสมัยใหม่ ด้านบนมีหอคอยสูง ตอร์เร เด แลมเบอร์ติ (Torre dei Lamberti) เราเห็นหอคอยอะไรสักอย่างนั้นแหละครับขึ้นสิ
หอคอยนี้ (Torre dei Lamberti ) เป็นจุดสูงสุดที่อยู่กลางเมือง Verona แห่งนี้นั่นเองเรามองวิวเมืองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา บ้านเมืองสีแดงอิฐทุกหลังรู้สึกเข็มแข็งแต่กลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นในคราวเดียวกัน
ลงมาด้านล่างก็จะเป็นแนวๆ Bazar เดินเล่นเพลินๆ บรรยากาศเมืองดีมากกกก
เป้าหมายถัดไปเราคือบ้านจูเลียต บ้านแห่งตำนาน Juliet (Casa di Giulietta ) พอเดินเข้ามาในบ้านแทบทุกอนูที่คนเขียนได้ก็จะมี คู่รักมาเขียนชื่อของกันและกันเต็มไปหมด ซ้อนซะจนบางคนแปะ post it ทับเลย
รูปปั้นนี้หล่ะครับที่เค้าบอกว่าถ้าเอามือไปลูบที่หน้าอกจูเลียตแล้วจะสมหวัง ต่อคิวกันยาวเหยียด
ทางขวามือของรูปปั้นจะเป็นทางเข้าบ้านจูเลียตซึ่งต้องเสียเงินเข้า แต่เรามีบัตรเบ่งก็ลุย ขึ้นมาชั้น 2 เจอที่ส่งจดหมายหาจูเลียต แต่ยุคนี้เป็นจอหน้าสัมผัสละครับ ไอ้เราก็พิมพ์ใหญ่พอกดส่งก็จะมีให้ใส่ email เราเข้าไป … ถึงตอนนี้ 5 เดือนแล้วผมยังไม่ได้เมลล์ตอบกลับเลยอะ คุณหลอกดาวววว
มุมนี้ฉากในหนัง ถ้าอยากไปยืนก็ต้องเสียเงินเข้าบ้านนะ
จากบ้านจูเลียตเราก็เดินต่อไปเรื่อยๆครับ โดยมุ่งหน้าสู่ Arena ผมรู้สึกชอบบ้านเมืองของ verona มากๆเพราะมันให้ความรู้สึกเป็นเมืองคนอยู่จริงๆไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวล้วนๆแบบเมืองอื่นๆในอิตาลี อาจเป็นเพราะไม่ใช่เมืองที่ฮิตที่สุดเท่าๆเมืองอื่นละมั้งครับ
Verona Arena ที่นี่จะคล้ายโคลอสเซียมแต่ขนาดเล็กกว่า ค่าเข้า 10 ยูโรเชียวครับ ถ้าใครไม่มีบัตรเบ่งก็ไม่ต้องเข้าหรอก ไม่ค่อยมีอะไร และยิ่งพีคไปกว่านั้นตอนเราไปเค้ากำลังจัดเตรียมคอนเสริต คืออึ้ง…กะไปดูของโบราณ เก้าอี้แดงๆเต็มเลย
เราเดินไปเรื่อยๆจนทะลุอีกฝั่ง จะเป็นแม่น้ำและ จะเจอกับสะพาน Ponte Scaligero สะพานขนาดใหญ่ข้ามทะเลสาบ Garda เย็นแล้วมุ่งหน้าสู่จุดชมวิวที่ใฝ่ฝันไว้ Castel san pietro ขึ้นฟรีครับเดินขึ้นบันไดไปพอเหนื่อย(มาก) สัก 400 ขั้นเห็นจะได้แต่วิวคืออย่างฟินนน
หลงรักเมืองนี้เข้าแล้วครับ จุดชมวิวนี้คือชนะเลิศ ผมได้นั่งชมตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกจนเมืองเปิดไฟ สุดยอดจริงๆ ห้ามพลาดนะครับถ้ามา Verona ไอ้เพื่อนผมมันก็ถ่ายรูปของมันอยู่ ผมก็จัดแจงตั้งขาตั้งถ่ายตัวเองเลย
ถ่ายตัวเองเสร็จผมก็ตั้งกล้องเก็บมุมอื่นๆต่อ มีคู่รักคู่หนึ่งมาพลอดรักกันบนเขาข้างๆเรา Selfie เป็นพยานรักกันหลายรูป ส่วนผมก็เป็นมารลั่นชัตเตอร์อยู่ข้างๆสองคนนั้น สักพักผู้ชายหันมามองผม.. คิดในใจ … เห้ยมันจะด่าผมป่ะวะเนี้ย
“ยูถ่ายรูปสวยมากเลยนะ ส่งภาพให้หน่อยสิ” พูดจบแล้วยื่นมือถือเข้าเฟซบุ๊คให้ผมพิมพ์แอดเฟรน เอ้า! จะขอภาพนี้เอง เราเลยได้คุยกันนิดหน่อยรู้ว่าพวกเค้ามาจากบลาซิล อีกหนึ่งประเทศในฝันผมเลย
. รถไฟที่จะไปเวนิสออกประมาณบ่ายโมง ตอนเช้าผมก็ไปเดินเล่นในเมือง Verona อีกครับเมืองอะไรไม่รู้น่ารักมากจริงๆ ปลื้มสุดๆ ( ชอบอันดับต้นๆของอิตาลีเลย) พอถึงเวลาก็นั่งบัสไปสถานีรถไฟ แล้วถ้าหันหน้าเข้าสถานีรถไฟด้านซ้ายจะมีร้านอาหาร ขายพวก เคบับ/พิซซ่า/ไก่ทอด อยู่ครับราคาไม่แพง
. นั่งรถไฟแค่ชั่วโมงครึ่งมั้งครับก็มาถึง Venice mestre อันนี้เป็นทริคที่อยากแนะนำที่พักในเวนิสจะแพงมากๆถ้าไม่ซีเรียสว่าต้องอยู่ในเวนิสให้มาพักแถว Venice mestre ครับ (อยู่ก่อนถึงเวนิสสถานีหนึ่ง) และจากที่พักเรานั่งรถบัสแค่ 15 นาทีก็ถึงเวนิสแล้วที่พักคืนละแค่ 1,800 เองหารละตกคนละ 900 เท่านั้นพอๆกะโฮสเทลเลย (แต่สภาพก็เห่ยพอตัว) และแถวนี้ยังมีห้างที่ขายของถูกมากๆๆๆๆๆๆ แพงกว่าไทยสัก 5-10% เท่านั้นเอง คือซื้อขนม ซื้อน้ำ ซื้อไก่ กินฟินๆเลย ไก่อบทั้งตัวขนาดประมาณไก่ย่าง5ดาวบ้านเรา 3 ยูโร คือฟิน
*Venice pass มีหลายอย่าง หลายประเภทมากๆ ผมจำไม่ได้ แต่พวกเรามีเวลา 48 ชั่วโมงพอดีก็เลยซื้อพาสแบบ 48 ชั่วโมง ขึ้นได้ทั้งบัสและเรือ
Venice ไม่เหมือนฝัน
. เวนิส คือหนึ่งในเมืองที่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะได้มา ผมได้รู้จักครั้งแรกและรับรู้ได้ว่ามันสวย ผ่านสายตาของชายไทย2คนจากรายการ หนังพาไป พี่บอลพี่ยอดนั่งเรือมาจากกรีซ แววตาแห่งความตื่นเต้นที่ฉายออกมามันบ่งบอกว่าอาการมาถึงเมืองในฝันมันเป็นยังไง
. ตัดฉากไปอีกช่องหนึ่งหลังหนังพาไปจบ เป็นคุณฟิลม์ รัฐภูมิ กำลังพาไปเดินเที่ยวเมืองเวนิส เดินหล่อๆกับเมืองสวยๆ “เมืองเดียวกันแต่กลับต่างกัน” เที่ยวแบบคนรวยกับแบบคนจนมันก็ได้มุมมองที่ต่างกันนะครับ
ผมคาดหวังกับเวนิสไว้มากเลยเพราะเป็นเมืองที่ทำให้รู้สึกอยากมาอิตาลีเลยก็ว่าได้ พอรถบัสมาจอดถึงเวนิส คำแรกที่นึกถึง ” ทำไมเวนิสไม่เหมือนฝัน !! “
เวนิสที่ผมพบเจอคือ คลองใหญ่ๆด้านหน้า และ มีสะพานปูนพาดผ่าน ร้านขายของเยอะๆและนักท่องเที่ยวมากมายมหาศาล นี่เราดั้งด้นมาตั้งไกลเพื่อมาเจออะไรแบบนี้เหรอเนี้ย … ฝันสลายยยย
.
.
แต่ซื้อตั๋วเหมามาแล้ว โรงแรมก็จองแล้วต้องอยู่กับมันอีก 48 ชั่วโมงลุยครับ… ผมนั่งเรือผ่าน grand canal ไปลึกขึ้นๆ บ้านเมืองสองข้างทางก็เริ่มงดงามขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมก็ได้พบ “เวนิสในฝัน” จริงแล้วครับ เมืองที่สวยมากๆ นั่งเรือกันยาวๆไปลงที่สถานี Piazza San Marco
มุมนี้ที่เคยฝันไว้ได้มาถ่ายด้วยตัวเองแล้วครับ
ไม่หล่อต้องเน้นตลกเข้าไว้ ใช้เลนส์ไวด์ถ่ายชิดๆเลยฮะ
จากท่าเรือ Piazza S. Marco เดินไปไม่ไกลทางซ้ายมองไปจะเป็นสะพาน Bridge of sight สะพานนี้เป็นสะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก สะพานด้วยหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้นักโทษมองออกมาชมความสวยงามของท้องฟ้าและทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต Lord Byron ได้ตั้งชื่อว่าสะพานซิงห์ (Sigh) … ดูเศร้าเน้อะ
จากนั้นก็ปล่อยใจไหลไปกับสายน้ำครับ ลัดเลาะผ่านซอกซอยเดินหลงๆไป เสน่ห์การเที่ยวอิตาลีมันอยู่ตรงนี้แหละ เที่ยวชิลๆหลงๆนี่งานถนัดผมเลย ( หลงตลอดยังมีหน้ามาอวด ! )
เราเดินไปเรื่อยๆจนถึงท่าเรือกอนโดล่า ขณะผมกำลังถ่ายรูปอยู่มีเสียงผู้หญิงแทรกขึ้นมา
“ขอโทษนะค่ะ คนไทยหรือเปล่า”
“เอ่อ ใช่ครับ”
“คือสนใจนั่งเรือกอนโดล่าด้วยกันไหมคะ เรือมันราคา 80 ยูโรอะค่ะ ถ้าหารกัน 4 คน(หมายถึงเธอกับเพื่อน และผมกับเพื่อน) ก็จะเหลือคนละ 20 ยูโรเอง”
“เอ่อ… ไม่สนใจหน่ะครับ” เสียใจด้วยกับสองสาวไทยที่มาชวนนักเดินทางกระเป๋าแฟ่บอย่างพวกเรา ถ้าพวกคุณมาอ่านขอบอกไว้ว่าพวกผมไม่ได้รังเกียจครับ..แต่ผมไม่มีตัง 555
เดินไปเรื่อยๆครับแล้วก็นั่งเรือย้อนกลับมาที่จตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) อีกรอบ คนเยอะครึกครื้นมากกก
พอถึงตอนเย็นพวกเราไปปักหลักถ่ายรูป Grand canal กันบนสะพาน Gallerie dell’Accademia วิวตรงนี้สวยมากกกก ถ่ายกันจนแสงหมด ไฟเมืองเปิดขึ้นก็ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง รอเรือรอบท้ายๆนั่งกลับไปแล้วต่อบัสกลับไปที่พักย่าน mestre เดียวพรุ่งนี้เรามาเจอกันใหม่นะเวนิส
Day 10 – Venice – Burano – Murano
“ชิล ชิล ตื่นเว้ย ตีห้าครึ่งแล้ว เช้านี้มึงจะไปไหม”
เพื่อนผมปลุกตอนเช้า(มาก) ผมง่วงมากจนแทบจะลุกไม่ไหว แต่ลองคิดภาพเวนิสกับพระอาทิตย์ขึ้นแล้วทำใจยากที่จะลงไปนอนต่อ
.
“เออไปด้วย รอกูสิบนาที”
เราเดินไปที่ท่ารถบัส ป้ายบอกว่าคันแรกเวลา 6:29 เหลืออีก 30 นาทีเราทนหนาวกันไม่ไหวจนต้องไปหา Mcdonald หลบหนาวรอเวลา
6:29 รถบัสมาจอดตรงเวลา เช้านี้พี่เค้าซิ่งเลยใช้เวลาเพียง 12 นาที รถบัสก็มาจอดเทียบท่าท่ารถบัสบนเกาะเวนิส บรรยากาศยามเช้าของเมืองเวนิสเงียบสงบแตกต่างกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
เช้านี้หมอกลงจัดมาก มากจนมองเห็นด้านหน้าในระยะเพียงแค่ไม่ถึง 5 เมตร และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเรารีบลงเรือนั่งไปยัง สถานี S.macro ( ตั้งใจจะไปถ่ายแสงเช้าที่สะพาน Accademia)
.
.
เฝ้ารอพระอาทิตย์จนเลยเวลาเธอก็ไม่โผล่มาตามนัด แต่เราก็ได้พบกับแสงส้มๆจางๆกับบรรยากาศสงบๆแทน ได้เห็นผู้คนมาวิ่งออกกำลังกาย ได้เห็นคนค้าขายมาเตรียมร้าน ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่ไม่ได้มองเลยเมื่อวาน
กระทั่งจตุรัสที่ครึกครื้นเช้านี้ก็ยังเงียบสงบ กระโดดโล้ดเต้นกันไปแบบไม่ต้องอายชาวบ้าน
จริงๆแล้วแพลนเช้านี้พวกเราจะรีบไปที่เมือง Burano + Murano กันอยากไปเช้าๆก่อนนักท่องเที่ยวจะมาเยอะ แต่เนื่องจากหมอกลงจัดเกิน ทัศนวิสัยไม่ดีเรือไม่ออก ก็เลยใช้เวลาตอนนี้ไปเดินเล่นเวนิสรอ เส้นทางเดินวันนี้ก็จะเดินจากตรงจตุรัส S.macro ไปทะลุสะพาน Rialto bridge แล้วก็จะนั่งเรือย้อนกลับมาเช็คเรือที่จะไปสองเมืองนั้นอีกรอบ
เวนิสตอนเช้าก็ยังสวยสงบน่าเดินกว่ากลางวันเยอะเลยครับ เหมือนย้อนไปในอดีตเลย
พอสายๆสักสิบโมงหมอกก็หายไป เรือออกเดินได้เรานั่งเรือต่อไปยังเมือง Murano
Murano หรือเกาะมูราโน่ เมืองลูกกวาดแห่งอิตาลี ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ครึกครื้นด้วยสีสันตลอดสองฝั่งคลอง ทั้งตัวตึก และไม้ประดับ เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นแหล่งผลิตเครื่องแก้วที่สวยงามจนขึ้นชื่อลือชาไปยังเมืองอื่นๆในยุโรป ถ้าลองสังเกตดีดีเรามักได้ยินว่า บรรดาเครื่องแก้วชั้นสูงยุโรปโบราณมักนำมาจากเมือง Murano แทบทั้งสิ้น
Murano เป็นเกาะไม่ใหญ่โตอะไรครับ เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก พักเสร็จก็เดินต่อชิลๆ เรามีเวลาเยอะไม่รีบ
อันนี้คืออะไรไม่รู้ แต่ทำจากแก้วใหญ่โตอลังการมากๆ
เดินเมือง Murano จนทั่วแล้วก็ไปต่อที่ Burano กันครับ ตรงท่าเรือสวยชะมัด
จาก Murano นั่งเรือต่อไปยัง Burano (นานประมาณ 45 นาที) เมืองเล็กๆสีลูกกวาดที่น่ารักกว่า เป็นเมืองในฝันผมเลยครับ เมืองนี้ผมรู้จักเพราะเพื่อนสนิทไปเรียนอังกฤษพอเรียนจบแล้วมันก็ตะเวนเที่ยวยุโรปกับเพื่อนก่อนกลับตามประสานักเรียนนอกที่เค้านิยมทำกัน ส่วนเราไม่พร้อมจะไปก็เลยบอกตัวเองไว้ว่า สักวันจะไปเหยียบที่นั่นให้ได้
เมืองนี้เป็นเมืองที่ “โคตรลงตัว” บ้านเมืองหลากสีแต่กลับดูกลมกลืนเหมือนมีใครสักคนวาดเข้าไป ดูคล้ายภาพวาดมากกว่าจะเป็นภาพถ่ายด้วยซ้ำ เมืองไม่ใหญ่เดินให้ทั่วก็ฟินแล้วไม่ต้องทำอะไรเลย เมืองน่ารักมากกกกกกกกก
มุมในฝัน ที่เคยหวังไว้ได้มาถ่ายด้วยตัวเองแล้วดีใจมากกก มากจนเพื่อนเบื่อแล้วกลับไปก่อนแต่ผมอินกับเมืองในฝันผมจริงๆเดินมันทุกซอกทุกมุมเลย
เดินเล่นไปเรื่อยครับถ้าเดินไปตรงที่ไม่ใช่ทางเดินหลักก็จะคนน้อย นั่งปล่อยอารมณ์ไปชิลมากๆเที่ยวสองเมืองนั้นจนครบทุกซอกทุกมุม ผมก็นั่งเรือกลับมาเดินเล่นในเวนิส เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก พอเย็นแล้วก็กลับมารอแสงตรงริมน้ำใกล้กับจตุรัส S.macro ครับ
แล้วก็มาตั้งกล้องรอถ่ายภาพนี้ที่สะพาน Accademia 2 วันที่ผมอยู่เวนิสนี้มันให้ความรู้สึก “อิ่ม” มากครับเวนิสในฝันฉันไปเหยียบมาแล้วนะ
Day 11 – Venice – florence
. วันนี้เป็นวันที่ 3 ในการอยู่เวนิส ผมรู้สึกเต็มอิ่มตั้งแต่สองวันแรกที่เราพบกัน วันนี้เหลือเวลาเยอะก็ไปช็อปปิ้งห้างใกล้ๆที่พัก บัตรเวนิสพาสยังมีอยู่ก็เลย มาเดินเล่นเป็นการสั่งลาเวนิสครั้งสุดท้ายก่อนเราจากกัน … ผมว่างถึงขนาดนั่งถ่ายรูปนก รวมทั้งผมเจอศิลปินมาวาดภาพเวนิสด้วยสีน้ำด้วย เป็นภาพบรรยากาศที่น่ารักมากๆ ผมหลงรักเวนิสตั้งแต่เรายังไม่พบกัน แม้ช่วงแรกเธอจะทำให้ผมผิดหวังไปบ้าง แต่พอค้นเข้าไปข้างในแล้วรู้สึกได้เลยว่า “เวนิสนี้ของจริง” ผมฟินและอินกับเวนิสครั้งสุดท้ายก่อนย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟเพื่อมุ่งหน้าสู่ เมืองหลวงแห่งแคว้นคัชทานี “Florence”
ขอจบอิตาลีตอนแรกไว้เท่านี้ครับ แล้วจะมาเล่าต่อถึง 4 เมืองที่เหลือ Florence – Pisa – Cinque terre – Rome
มาพูดคุยกับชิล มนุษย์เงินเดือนที่ฝันจะไปรอบโลกได้ที่ช่องทางนี้เลย
Facebook : http://www.fb.com/ChillJourney
Instagram : @ChillJourneyTH
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!
Instragram:@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook :Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube :ChillJourney