[ Chill Journey ] ปิดมหากาฬ “ลางานไปตามฝัน สวิส-อิตาลี 17 วัน 65k” อิตาลีไม่ใช่ตอนจบ
. สวัสดีครับเราเดินทางกันมาถึงตอนสุดท้ายของมหากาฬรีวิวแล้วนะ ขอท้าวความกันอีกรอบผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมากฝันครับและหนึ่งในฝันของชีวิตคือการเดินทางแบบ Backpack เมื่อช่วงสงกรานต์ปี 2015 ผมก็เลยลางานไปทำตามความฝัน นั่นคือการ Backpack แบบจนๆแต่ดูคูล นอนโฮสเทล
. อันดับหนึ่งของฝันผมคือ สวิสเซอร์แลนด์ ครับลากให้ยาวสุดจักรีต่อสงกรานต์ บินคืนวันศุกร์ได้มา 17 วัน เลยพ่วงอิตาลีมากะเค้าด้วย ในงบประหยัดสุดขั้วตั้งใจไว้ว่าจะใช้ไม่เกิน 80,000 บาท แต่คำนวณค่าใช้จ่ายหลังจบทริปได้ที่ 65,000 บาท
. เขียนไว้กันดราม่าว่าทำไมต้องแข่งกันจน? สำหรับผมถ้าในประเทศเอเชียหรือการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยผมไม่ได้ประหยัดมากนัก แต่ค่าครองชีพในยุโรปมันแพงเกินกว่าผมจะเอาเงินที่เก็บมาเป็นปีๆไปผลาญ อย่างเช่นอาหารมื้อละ 500 ผมยอมกลับมากินอาหารหรูๆที่ไทยดีกว่า รวมทั้งถ้ากินดีอยู่ดีทริปนี้น่าจะทะลุแสน ส่วนต่างนี้ผมไปได้อีกตั้งหลายทริป
. มาต่อหลังจากกระทู้ที่ผ่านมาผมได้พาไปสวิสมาแล้ว 5 วันไล่จากเมือง Zurich – Lucerne – Bern -Interlaken – Zermatt
จากเมือง Zermatt ผมได้นั่งรถไฟข้ามประเทศต่อมายังอิตาลีที่เมือง Milan และเกิดเป็นรีวิวอิตาลีตอนแรก Milan – Lake como – Verona – Venice
คราวนี้จะมาต่อเมืองที่เหลือคือ Florence – Pisa – Cinque terre – Rome และบินกลับไทย
. จากเวนิสผมนั่งรถไฟมาลงสถานีเมือง Florence (Firenze S. M. Novella) Florence ถือเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นทัชคานี ที่ได้รับยกย่องให้เป็นเมืองหลวงเอกของศิลปะโลก และเหตุผลที่ทุกคนยอมรับพร้อมกันก็คือ ทุกตารางนิ้วของฟลอเรนซ์นั้นจะเต็มไปด้วยงานศิลปะหลากสไตล์
แลนด์มาร์ตอันดับหนึ่งของเมือง
ตรง Duomo มาถึงก็จะมีตั๋วเหมาเข้า 4 อย่างได้ในบริเวณนั้นในราคา 10 ยูโร
- หอระฆัง ( Bell tower )
- โบถส์ ( Duomo )
- พิพิธภัณฑ์
- Baptistery
. ซึ่งก็แนะนำให้ซื้อเหมาไปเลยเพราะแค่ขึ้น Duomo ก็ 6 ยูโรไปแล้ว คำแนะนำถัดมาคือให้ขึ้นไปที่หอระฆังก่อน เพราะว่าจากบนหอระฆังมันจะมองย้อนกลับมาเห็น Duomo ( นึกออกไหม? ถ้าขึ้น Duomo ก็จะมองกลับมาเห็นหอระฆัง ) เผื่อหมดแรงขึ้นแค่อันเดียวจะได้ไม่เสียดาย
. เช้าๆยังไม่มีคนเท่าไหรพวกเรายืนต่อแถวอยู่ประมาณ 10 นาทีเดินขึ้นประมาณ 470 กว่าขั้น เหนื่อยมากกกกกก และระหว่างทางที่เราขึ้นจะมีคนเดินสวนลงมาแล้วให้กำลังใจว่า “อีกไม่ไกล” เสมอเดินจนเพลียก็ไม่ถึงสักที นึกแค้นไอ้พวกให้กำลังใจว่า อีกไม่ไกล ตลอดทาง ระหว่างกำลังคิดๆอยู่ก็จะมีพวกเดินสวนกลับมาบอกว่าไม่ไกลอีกแล้ว… เชี้ยสสส
. ทางเดินยิ่งสูงยิ่งแคบขึ้น แคบขึ้น บันไดเริ่มแคบและเดินยากขึ้นเรื่อยๆ และแล้วก็มาถึงชั้นบนสุด ด้านบนเป็นเหมือนดาดฟ้าของหอนาฬิกา มีกรงเหล็กซี่ห่างล้อมรอบกันเพื่อความปลอดภัย วิว Duomo อยู่ตรงหน้าฉากหลังเป็นบ้านเมืองหลังคาสีอิฐไกลสุดลูกหาลูกตา สวยมากจริงๆ
ผมยืนมองวิวในฝันจนฟินแล้ว ก็เดินลงกลับทางเดิมครับ 470 ขั้น ระหว่างทางก็เราก็ไม่พลาดจะให้กำลังใจพวกที่เดินสวนกับเราว่า
“อีกไม่ไกล” … ลงมาถึงด้านล่างก็พักเหนื่อยด้วยการไปชมภายใน Duomo กันหน่อย ซึ่งก็ใหญ่โตอลังการดี แต่ลวดลายไม่อลังแบบโบถส์อื่นๆนะดูเรียบๆ
. พอหายเหนื่อยแล้วก็ไปต่อคิวอีกรอบเพื่อขึ้นบนยอด Duomo อีก 414 ขั้นเหมือนกันรอบนี้เริ่มสายแล้วสักสิบโมงต่อคิว 40 นาทีกว่าจะได้เริ่มเดินขึ้น ( ระหว่างเดินไม่มีภาพถ่าย…หอบอยู่ )
. ระหว่างเดินเหนื่อยๆก็จะมีพวกเดินสวนกลับมาบอกว่า “อีกไม่ไกล” นั่นแน่ตูรู้นะเฮ้ย! จะว่าไปมันก็เหมือนกับการต่อเติมกำลังใจนะ แบบจะท้อจะท้อ มีคนบอกอีกไม่ไกลเนี้ยมันพอช่วยได้ เดินไปสักประมาณ 3 แฮ่ก ก่อนถึงยอดโดมจะถึงทางเดินลอยฟ้ารอบโดม ตรงจุดนี้มีกระจกกั้นเพื่อความปลอดภัย ผมมองลงไปยังพื้นโบถส์รู้สึกเสียวไส้ชะมัด ตอนนี้เราอยู่ใกล้ภาพวาดใต้หลังคาโดมแค่เอื้อมเอง
. ก้าวต่ออีกไม่กี่ถึงร้อยขั้นแต่ระหว่างทางเดินนั้นยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทางเดินมันจะเอนไปตามความโค้งของยอดโดม การมาอิตาลีนี้ทำให้ผมคิดได้อย่างหนึ่งว่า “เราควรเที่ยวตั้งแต่ร่างกายยังแข็งแรง” เพราะสมมุติตอนเกษียณถึงแม้จะมีเงินซื้อทัวร์มาเที่ยวฟลอเร้นซ์ แต่คงไม่มีโอกาสเดินขึ้นมาบนนี้เป็นแน่ๆ พอขึ้นมาถึงด้านบน Duomo ก็จะมองกลับไปเห็นหอระฆังครับ ตรงนี้ก็สวยเช่นกันถ้ามีแรงไหวซื้อบัตรแล้วก็ขึ้นมาทั้งสองฝั่งเลย
. จากโซน Duomo เดินไปทางขวาเรื่อยๆก็จะเจอเป้าหมายถัดไป Palazzo Vecchio เป็นจัตุรัสที่เต็มไปด้วยผู้คนและศิลปะ ตรงนี้ก็จะมีงานศิลปะกลางแจ้งหลากหลายอย่างและที่เด่นสุดน่าจะเป็น รูปปั้นชายหนุ่มรูปงามนามว่า “เดวิด” (อันนี้ของปลอมถ้าของจริงอยู่ในมิวเซียมที่ต้องเสียเงินเข้า)
. เสพอาร์ตแบบฟรีๆสักพักแล้วเดินต่อไปยัง “สะพานเวคคิโอ” (Ponte Vecchio) สะพานข้ามแม่น้ำอาร์โน เก่าแก่ที่สุดในเมืองมีอายุประมาณ 600 กว่าปี ลักษณะของสะพานสองฟากสะพานเป็นอาคารพาณิชย์ที่เปิดเป็นร้านค้า เว้นที่ตรงกลางสะพานไว้เล็กน้อยพอให้ยืนชมวิวแม่น้ำได้ ด้านบนหลังคาของอาคารพาณิชย์ยังถูกทำเป็นทางเดินลอยฟ้าเพื่อเชื่อมทั้งสองฝากแม่น้ำ บนสะพานจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและแม่ค้ามากมายเพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่ขึ้นชื่อของเมืองฟลอเร้นซ์
. คือผมไม่ค่อยอินกับพวกมิวเซียมก็เลยถามโฮสเทลว่ามีอะไรน่าสนใจไหม เค้าก็แนะนำเส้นทางนี้มาเป็นแนว Trekking เล็กๆเบา จากสะพานข้ามแม่น้ำเดินตรงไปเรื่อยๆจะเจอสวนรถไฟ ไม่ช้ายย เจอสวนที่ชื่อว่า Giardino di boboli แต่มันเก็บค่าเข้าครับ…เลยถ่ายรูปแค่ทางเข้ามา
. ผมดูแผนที่ในมือถือแล้วถ้าตรงไปเรื่อยๆแล้วเลี้ยวซ้ายก็น่าจะทะลุ Piazzale Michelangelo ได้นะ ถือเป็นการเดินเที่ยวเมืองไปในตัว ผมเดินต่อไป ต่อไป ตอนนี้บรรยากาศของเมืองท่องเที่ยวได้หายไปจนหมดสิ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเขตเมืองใหม่ผมเดินจนถึงสี่แยก ตรงนี้มีป้ายที่ท่องเที่ยวชื่อ Porta Romana ผมมาค้นทีหลังว่าเป็นประตูเมืองของกำแพงเมืองเก่าเมืองฟลอเร้นซ์และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปรากฎในหนังสือ inferno ด้วย
. ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร ผมถ่ายรูปและเดินต่อไปเจอคล้ายสวนครับ ไม่มีเก็บค่าเข้าตอนนี้ผมว่างและเมื่อย เข้าไปนั่งเล่นดีกว่า ที่นี่คือโรงเรียนสอนศิลปะ มีพื้นที่เยอะเค้าก็เลยเปิดเป็นคล้ายสวนสาธารณะให้คนมาพักผ่อน เอาอาหารมาปิกนิ๊กกัน เอาหมามาเดินเล่นวิ่งเล่น … คิดแล้วก็ตลกมาถึงอิตาลีมานั่งดูหมาวิ่ง
ผมตามแผนที่ไปเรื่อยครับสุดท้ายผ่านไป 2 ชม.ก็ถึง
.
.
.
ถึงทางตัน !
. มันทะลุไปเขาโน้นไม่ได้ครับ คือช็อคโลกมาก ถามๆเอาได้ความว่านั่งบัสกลับไปเมืองก่อนดีกว่าไอ้หนู ผมก็เลยนั่งบัสกลับไปที่ตรงเมือง และ นั่งรถบัสสาย 12 วิ่งอ้อมโลกชั่วโมงกว่า มาถึง Piazzale Michelangelo ( วันแรกผมเดินมาจากเมือง พอทะลุสะพานเวคคิโอแล้วให้เลี้ยวซ้ายตรงๆไปเดียวเจอทางเดินขึ้นครับ )
. Piazzale Michelangelo เป็นลานกว้างที่เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในเมือง Florence ครับคุณจะเห็นคนมากมายมหาศาลที่นี่มานั่งชมพระอาทิตย์ตกกับเมืองหลวงแห่งแคว้นทัชคานี่ ด้านหลังไกลๆจะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน สวยมากจริงๆ
สรุป Florence ควรอยู่กี่วัน?
คืองี้ครับ Florence เป็นเมืองที่เต็มไปด้วย Museum ถ้าคุณเป็นพวกไม่เสพอาร์ตและไม่เข้า museum ไป 2 วัน 1 คืนก็เก็บได้ครบแถมมีเวลาชิลอีกมากกก ส่วนใครที่เป็นพวกชอบอาร์ต 3 วันอาจไม่พอครับเพราะมันเยอะ แล้วแต่ละที่ก็ต้องใช้เวลาละเมียดละไมชม
หอเอนจ๋า พี่มา(ดัน)แล้ว
ข้ามจาก florence มาสู่เมือง Pisa แล้ว สองเมืองนี้ใกล้กันนั่งรถไฟประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงละ พอมาถึงสถานีรถไฟ มีสองทางเลือก
- นั่งรถบัสไป
- เดินตรงๆไปประมาณ 30 นาที
เช้าๆแบบนี้แล้วด้วย “ความงก” แน่นอนพวกเราเดิน ก็เดินไปแบบเพลินๆสองข้างทางก็จะมีร้านรวงขาย กาแฟ ขายไอติม ไปสไตล์อิตาลี (ตอนเช้าๆอิตาลีไม่ค่อยเจออาหารหนักๆขาย ) เดินยังไม่เหนื่อยเลยก็มาถึงละ แว่บแรกคือ
“เห้ย! มันมีแค่นี้เองเหรอวะ”
ลองนึกภาพตามว่า มีโบถส์อันหนึ่ง มีหอเอนอันหนึ่ง และ Baptistery(คล้ายโบถส์แต่เล็กกว่าเยอะ) ตั้งอยู่พร้อมกับสนามหญ้า แค่นั้น
เหยยยย คือที่ดั้งด้นมาดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมีแค่นี้เองเหรอวะ จากนั้นสิ่งที่ทุกคนต้องทำคือ คือ … แอ๊คท่าดันหอเอน
. ถ้าคิดจะได้ภาพคูลๆแบบที่เคยดูในเน็ตหล่ะต้องบอกว่า “พลาดแล้ว” เพราะตอนนี้อิตาลีกั้นไม่ให้เข้าไปในหญ้าละครับ เลยได้แต่ดันด้านนอก พอถ่ายเสร็จมองหน้ากันกับเพื่อน “เหลือเวลาอีก 4 ชั่วโมงทำไรดี” คือแบบว่ามาถ่ายกัน 20 นาทีเสร็จ
. เดินเล่นละเมียดละไมสักพัก หลังจากนั้นผมก็ยืน ดูครับว่าเค้าทำท่าอะไรกัน บอกเลยว่ามหัศจรรย์กว่าหอเอนก็มนุษย์นี้แหละ นั่งดูแต่ละท่า “โคตรบันเทิง”
ซึ่งเราก็ทำ… 😛
สรุป… Pisa แวะมา 3 ชั่วโมงก็พอครับไม่ค่อยมีอะไร
เมืองในฝัน มุมในฝัน
. จาก Pisa บ่ายๆนั่งรถไฟต่อมายัง Cinque terre หรือหมู่บ้านมรดกโลกชาวประมงทั้ง 5 ที่เด่นกว่าใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะมาสร้างบ้านลดหลั่นบนไหล่เขาได้ขนาดนี้ Unesco ถึงกับยกย่องให้เป็นมรดกโลกเลย
ตอนแรกจะตัดทิ้งแล้วครับเพราะเวลามีน้อยมาก เรียกได้ว่ามาชะโงกทัวร์ก็ได้แต่แบบว่ามันเป็นมุมในฝันที่ถึงขนาดเคยบอกตัวเองไว้ “วันหนึ่งกูจะไป” ดังนั้นจึงเชื่อใจตัวเองมาชะโงกค้าง 1 คืน
. หมู่บ้านที่ผมอยากไปที่สุดคือ Manarola แต่ที่พักที่หาได้ถูกๆมันอยู่เมือง Riomaggiore (ติดกันกับ manarola ) หมู่บ้านนี้ก็ติดอันดับสวยกะเค้านะ
นั่งรถไฟมาถึง Riomaggiore เดินขึ้นเขาไปตามหาที่พัก แต่ปัญหาเจ้ากรรมมันอยู่ที่ว่า GPS ที่ปักหมุดของโรงแรมอะมันปักผิด อารมณ์ปักมั่วๆ เราก็แบกเป้+กล้อง หนักรวมกันประมาณ 20 กิโลเดินขึ้นลงเขาอยู่เกือบชม. จนท้อแบบไม่ไหวแล้ว เลยเดินกลับมาสถานีใหม่ ถามเค้าสรุปว่าพอออกจากรถไฟต้องเดินไปทางขวา ไม่ใช่เดินขึ้นเขา !!
. มาชมวิวหมู่บ้านเราหน่อย Riomaggiore เป็นหมู่บ้านที่สวยติดอันดับแต่จะถ่ายรูปให้สวยต้องถ่ายจากเรือแล้วมองกลับมาครับ ถ้าตัวหมู่บ้านเองถ่ายไม่ค่อยแจ่ม
. ตอนแรกแพลนเราจะเดิน Trekking เบาๆจากหมู่บ้าน Riomaggiore ไปยัง Manarola ซึ่งกินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่มัวแต่หลงอยู่เวลาไม่ทันแล้วเลยใช้วิธีนั่งรถไฟ รถไฟที่นี่ประมาณ 1.2-2 ยูโรนั่งไม่ถึง 2 นาทีก็ถึงละครับมันใกล้มากๆ(รถไฟตัดภูเขา) แต่ถ้าเดินก็จะเป็นการข้ามเขาซึ่งเหนื่อยเกินไป
. มาถึงหมู่บ้านในฝันของผม Manarola งามงดจริงๆทุกอย่างมันลงตัวสุดๆไปเลย ผมยืนบ้าง นั่งบ้าง ระหว่างรอก็ไปเอาเท้าแช่น้ำชมเมือง อยู่ถ่ายรูปอยู่มุมนี้ 3 ชม.ตั้งแต่แดดส่องจนไฟเมืองเปิด ฟินเหลือหลาย “มุมในฝัน ฉันไปมาแล้ว” ( จุดชมวิวเดินไปนิดเดียว )
“ชะโงกทัวร์ยังอาย”
. เช้าวันที่ 14 ของการเดินทางขอตั้งชื่อว่า ชะโงกทัวร์ยังอาย เช้านี้ผมตื่นสายประมาณ 8 โมงเพราะร่างกายเพลียจนตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ไหวแล้ว บ่าย2 เราต้องขึ้นรถไฟต่อไปยัง Rome
นับดูเผื่อเหลือเผื่อตกรถไฟเราเหลือเวลาไปเที่ยว 2 หมู่บ้านนั้นก็จะมีเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง มาเดินเล่นหมู่บ้าน จิบกาแฟชมเมืองหมู่บ้านเราก่อน Riomaggiore
. จากนั้นเราไปซื้อตั๋วรถไฟจากเมือง Riomaggiore ที่เราอยู่เพื่อไปยังเมือง Vernazza รวมทั้งซื้อรถไฟจากเมือง Vernazza ไปยังเมือง Corniglia และเส้นทางกลับไปเอากระเป๋าและเช็คเอ้าท์ corniglia -> Riomaggiore ไปพร้อมเลยทีเดียว ตั๋วรถไฟ local อิตาลีจะไม่มีเวลากำกับก่อนจะใช้เพียงแค่ไปยืนยันการใช้งานที่ตู้ Validate ก็พอ
. ระหว่างรอรถไฟลองกดที่ตู้ดูพบว่ารถไฟขาที่จะวิ่งกลับมายังที่พักเราดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมง!! นั้นแปลว่าเราไม่สามารถกลับขบวนนั้นได้อีกแล้ว มันจะเฉียดฉิวเกินไปจนอาจตกรถไฟไปโรมที่เราจองล่วงหน้ามา
ดังนั้นเราเหลือเวลาไปเที่ยว 2 หมู่บ้านนั้นและกลับภายใน 2 ชั่วโมงเท่านั้นเรียกได้ว่า “ชะโงกทัวร์ยังต้องอายยังน้อยไป”
. เรานั่งรถไฟต่อไปยังเมือง Vernazza พอถึงแล้วเดินสำรวจในเมืองเล็กน้อย เมืองนี้เป็นเมืองกลางหุบเขาจริงๆ ไม่ใช่ไหล่เขา ทำให้มีทางเดินหลักเพียงหนึ่งทาง เราเดินไปเรื่อยๆตามกลุ่มนักท่องเที่ยวมากมาย ผ่านร้านค้าขายของที่ระลึกสองข้างทาง เดินไปจนถึงริมทะเล
. ที่ริมทะเลนี้จะมีเหมือนท่าเรือเล็กๆ มีเรือจอดเรียงราย จริงๆแล้วจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองนี้จะเป็นเส้นทางเดินป่า Blue Trail ระหว่าง เมือง Monterosso และ Vernazza มองลงมาเห็นท่าเรือและบ้านเรือนสีสวยๆทั้งเมืองแต่เราไม่มีเวลาเพียงพอ
. เรารีบเดินย้อนกลับหลังไปขึ้นเขา เป็นทาง Trekking เล็กๆขึ้นไปยังจุดชมเมืองที่ไม่ต้องเสียเงิน ตรงจุดนี้ก็ถือว่าเป็นจุดชมวิวยอดฮิตอีกแห่งหนึ่ง มองไปจะเห็นหมู่บ้านลดลั่นลงไปจนถึงทะเล ฟินได้แป๊ปหนึ่งมองนาฬิกาต้องรีบลงไปสถานีแล้วครับ เพื่อไปเมือง Corniglia ต่อกันตารางเวลา
เดินขึ้นเขากันเบาๆครับไม่เหนื่อยมาก
. ต่อรถไฟมาถึงเมือง Corniglia ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็รีบลงไปยังสถานีรถไฟ เพื่อนั่งรถไฟต่อไปยังเมือง Corniglia ที่เมืองนี้เราต้องทำเวลาโคตรๆเพราะมีเวลาเหลือแค่ 30 นาทีเท่านั้นก่อนรถไฟขบวนกลับจะออก ที่พีคไปกว่านั้นคือเมืองนี้อยู่บนเขาต้องขึ้นบันไดไปอีกประมาณ150 ขั้น!! ขาก็เจ็บ เวลาก็น้อย อะไรมันจะพีคขนาดนี้!
. ผมวิ่งไป เดินไป กลั้นใจบอกกับตัวเองว่ามาไกลขนาดนี้จะยอมแพ้ได้ไงวะ ตาก็มองนาฬิกา ต๊อก ต๊อก เวลาหมดลงไปทุกทีอีก 17 นาทีรถไฟจะออก ผมวิ่งมาถึงข้างบนจนได้
. ด้านบนเป็นลานกว้างทางซ้ายเป็นทางเข้าหมู่บ้าน ทางขวาเป็นร้านค้า ส่วนตรงหน้าดูคล้ายจะเป็นจุดถ่ายรูปเพราะมีนักท่องเที่ยวกำลังถ่ายอะไรกันอยู่
. ผมเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง อีก 15 นาทีรถไฟออก เวลาในการเสพความสุข และ วิ่งไปถ่ายรูปบนหมู่บ้านนี้ผมต้องทำภายใน 5 นาทีและเผื่อเวลาวิ่งลงบันได 150 ขั้นรวมทั้งวิ่งจากตีนสะพานไปยังสถานีอีก 500 เมตร !!
. ผมถ่ายรูปเพียงแค่สามสี่รูปและเดินกลับเพราะขาผมเจ็บผมคงลงได้ช้า ผมค่อยๆไต่บันไดที่มีลักษณะสลับฟันปลาลง วิวตอนเดินลงบันไดสวยงามจริง บันไดหลายร้อยขั้นสลับฟันปลา มองไปทางขวาเป็นทะเลสีคราม ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงเท่าที่ร่างจะไหว ผมเข้าโค้งด้วยการเอามือจับราวบันไดและโหนตัวลง เพื่อให้ผมไม่ต้องลดสปีดลง นี่ถ้าดริฟท์ได้ผมคงทำไปแล้วแน่ๆ !!
เพื่อนที่ลงตามหลังมาเดินแซงไป
“ริน กูไม่ไหวแล้วหว่ะ ขอพักก่อน ถ้ากูตกรถไฟไปเจอกันที่โรมเลยนะ”
ผมตะโกนบอกเพื่อน และหยุดพักทั้งๆที่อีกไม่กี่นาทีรถไฟขบวนถัดไปจะมาและผมกำลังจะตกรถไฟ สมองผมสั่งการแต่ร่างกายผมไม่ขยับ
. ผมพักอีก 1 นาทีและก้าวลงบันไดอีกครั้งจนผมมาถึงตีนสะพาน ผมเหลือบมองนาฬิกาอีก 2 นาทีรถไฟออก ผมคาดว่า 5 นาทีผมน่าจะถึง ผมออกวิ่งแบบกะเผลกๆ ภาพในหัวผมฉายเหมือนพระเอกกำลังวิ่งไปตามนางเอกที่ขึ้นรถไฟจากไป พระเอกพยายามวิ่งตามรถไฟและไม่ทัน มึง! นี่ไม่ใช่หนังเว้ย ผมปัดภาพนั้นออกไปและพยายามไปถึงสถานีให้ไวที่สุด ตอนนี้เลยเวลาตามตารางมา 1 นาที และผมวิ่งเข้าเส้นชัยมาถึงสถานี Corniglia แล้ว
“รอดไปเว้ย” ผมโล่งอกที่รถไฟยังไม่มา อะไรมันจะตื่นเต้นขนาดนี้วะเนี้ย
.
.
พวกเรารอรถไฟอีก 10 นาทีกว่ารถไฟจะมา
“เชี้ยยยยยยย แล้วที่กูวิ่งมาแทบตายคืออะไร”
ถนนทุกสายวิ่งสู่เมืองโรม
จาก Cinque terre มา Rome มี 2 ทางเลือกครับ
- นั่งรถไฟ inter city ยิงตรงมาโรมเลย ประมาณ 4 ชั่วโมง (ถูกกว่า)
- นั่งรถไฟกลับไป Florence แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงมาอีกที ใช้เวลาน้อยกว่านิดหนึ่ง
คำนวณแล้วเน้นถูกและนั่งหลับยาวทีเดียวเลยเลยเลือก option แรก พวกเรามีเวลาอยู่โรม 2 วัน 2 คืน วันแรกมาถึงก็จะทุ่มแล้วไม่นับแล้วกัน
18:03 รถไฟมาจอดถึงเมือง Rome ตามกำหนดการ ผมนับจนถึงเวลา 3 ทุ่ม ตอนนี้เหลืออีก 3 ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์จะตกเราต้องทำเวลา รีบไปเช็คอินเก็บสัมภาระแล้วออกไปหามุมหาสถานที่ถ่ายแสงเย็น
สถานีรถไฟเมืองโรมเป็นสถานีขนาดใหญ่ กะจากสายตาน่าจะเล็กกว่าที่มิลานเพียงเล็กน้อย จะว่าไปโรมเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของอิตาลีก็ว่าได้ ดังนั้นทุกคนกล่าวขานว่าโจรเยอะ มีคำเตือนไว้ว่าเป็นเมืองที่เราต้องระวังมิจฉาชีพให้มากที่สุด มากกว่าเมืองใดๆในอิตาลี
พวกเรานั่งใต้ดินไปเช็คอินโฮสเทล ตามธรรมเนียมโฮสเทลที่ดีก็จะมีแผนที่ให้พร้อมคำแนะนำ
“นี่ข้อมูลแผนที่เมืองโรม โฮสเทลเราอยู่ตรงนี้และนี่คือสถานที่สำคัญทั้งหมด รถไฟใต้ดินมี 2 สายทั้งสองสายจะบรรจบกันที่สถานี Termini หรือจะนั่งบัสสาย …. ” พนักงานให้คำแนะนำแบบจัดเต็มและไม่ลืมทิ้งท้าย
“อ๋อ สิ่งสำคัญที่นี่โจรล้วงกระเป๋าเยอะนะให้ระวัง” พนักงานทำหน้านึกแล้วพูดต่อ
. “แต่พวกคุณมาจากกรุงเทพหนิ คงคุ้นชินอยู่แล้วเน้อะ”
. “แต่พวกคุณมาจากกรุงเทพหนิ คงคุ้นชินอยู่แล้วเน้อะ”
. “แต่พวกคุณมาจากกรุงเทพหนิ คงคุ้นชินอยู่แล้วเน้อะ”
. เสียงก้องสะท้อนไปมาในหัวผมคำสั้นๆแต่มันช่างเจ็บจี้ด คนไทยสองคนหันมามองตากันแบบไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจ เรื่องนี้ทำให้ผมลองมองกลับไประเทศไทยก็คงขึ้นชื่อเรื่องโจรชุมไม่น้อยไปกว่าโรมเลยเผลอๆมากกว่าด้วยซ้ำ
ก่อนจะงงเอาแผนที่โรมไปดูก่อนครับ
. พวกเรานั่งใต้ดินต่อไปยัง Colosseum ออกจากใต้ดินปุ๊ปเจอปั๊บ ตอนนี้ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีพระอาทิตย์กำลังจะตกลง เรารีบข้ามถนนไปเดินสำรวจรอบ Colosseum เพื่อหามุมที่ใช่ในการถ่ายภาพ มุมด้านหลังกำลังปิดซ่อม มุมด้านหน้าเป็นรั้วและถนน ดังนั้นมุมที่ถ่ายได้คือมุมทางด้านขวา แต่มีอุปสรรคอีกเพราะ Colosseum ไม่เหมือนฝัน มันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว! จะถ่ายยังไงก็ติดคนเต็มภาพไปหมด
เดินมาอีกนิดจะเจอประตูดังอีกประตูชื่อ ประตูชัยคอนสแตนติน(Arch of Constantine)
ดูทรงแถวนี้ไม่น่าเวิคเลยเดินไปทางขวาของโคลอสเซียมไปเรื่อยๆจะเจอ Roman forums อารมณ์คล้ายอยุธยาจะเป็นพวกเศษศากอารยธรรมทั้งหลาย
ทางด้านขวา ชื่ออะไรไม่รู้สวยดีก็ถ่ายมา
. ผมเดินต่อไปด้านหน้าจนถึงวงเวียนขนาดใหญ่ ด้านซ้ายมีอาคารสีขาวขนาดใหญ่ มีทหารถือปืนยืนอยู่หน้ารั้วกั้น ผมดูท่าแล้วน่าจะเป็นอะไรเกี่ยวกับทหารนะ ลองมาค้นข้อมูลดูทีหลังที่นี่ชื่อว่า Vittoriano Emanuele Monument หันหน้าเข้า Vittoriano Emanuele Monument เลี้ยวขวาด้านหลังจะเป็นบันไดขึ้นไป ตรงกลางจะมีรูปปั้นอยู่ ให้เดินทะลุออกทางขวาจะเจอจุดถ่ายรูป Roman forums สวยๆแบบไม่เสียเงิน
นครวาติกัน
. เช้าวันที่ 15 พวกเราเดินออกมาถึงสถานีรถไฟใต้ดินใกล้โฮสเทล Castro Pretorio ตอน 5:20 ก่อนถึงเวลารถไฟเที่ยวแรกออก 10 นาที แต่ประตูสถานียังมีรั้วเหล็กกั้น รอคอยจนถึง 5:30 แต่ก็ยังไม่มีทีท่าเลยว่าประตูนี้จะเปิดออก ไอ้เพื่อนตัวดีมันชวน “เดิน” ไปสถานีหลักประมาณ 1 กิโลเพื่อความรวดเร็ว กลัวพลาดแสงเช้า … โอเคเดินก็เดินวะ
. ณ เวลา 6 โมงเช้าแต่สถานีเต็มไปด้วยผู้คนมากอย่างไม่น่าเชื่อ …รถไฟคันแรกมาแล้วพวกเรานั่งยาวผ่านเมืองมาถึงสถานี Ottaviano สถานีที่ใกล้ Vatican ที่สุด พอออกจากสถานีพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น พวกเราต้องรีบเดินหาทางเข้าเพื่อไปถ่ายรูปก่อนพระอาทิตย์ขึ้นช่วงเวลาฟ้าสีสวยให้ทัน ไม่งั้นเราอาจเสียเที่ยวที่อุส่าตื่นตั้งแต่ตี 5 … เจอแล้วทางเข้า พร้อมมหาวิหารวาติกัน …
ถ่ายได้ไม่ถึง 10 นาทีรั้วของมหาวิหารก็เปิดออก พวกเรารีบเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นเพื่อหามุมที่ใช่ต่อ
แช๊ะ แช๊ะ ผมถ่ายได้เพียง 1 ภาพและไฟก็ดับลง
“เห้ยยยยยยย ปิดไฟซะแล้ว” ผมตะโกนออกมาด้วยความผิดหวัง อุส่าห์ตื่นแต่เช้านะยังไม่ได้รูปที่ชอบเลย สักพักคนก็เริ่มต่อคิวเข้าสู่นครวาติกัน พวกเราก็รีบไปต่อแถวกะเค้า พอผ่านมาได้ประตูหลักก็ยังไม่เปิดผู้คนมายืนรอ
“แกร๊ก”
“แอ๊ดดดดดดดดดดดดดด”
.เสียงกุญแจเหล็กถูกปลดล็อคและเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญเข้า ผู้คนกรูกันเข้าไปผมเดินตามไป เพียงแค่แว่บแรกที่ผมก้าวเข้ามาในนี้ผมก็รับรู้ได้ถึงพลังศรัทธาของชาวคริสต์ ภายตรงหน้าเป็นมหาวิหารขนาดใหญ่ มองไปทางไหนก็พบกับศิลปะอันงดงามตั้งแต่ พื้น ฝาพนัง จวบจนเพดาน ทุกอนูเต็มไปด้วยศิลปะชั้นเอก ยิ่งใหญ่จนเลนส์ไวด์ไม่สามารถเก็บภาพได้หมด
. ระหว่างนั้นมีกลุ่มนักบวชคริสต์ใส่ชุดขาวเดินแถวละ 2 คนเรียงกันมากว่า 20 ชีวิตยิ่งทำให้บรรยากาศดูขลังเหมือนผมหลุดเข้ามาอยู่ในหนังสือนิยายรหัสลับดาวินชี่ หนังสือเล่มโปรดของผมที่แต่งโดย แดน บราวน์ นักเขียนนิยายชื่อก้องโลก
. ภาพฉากในนิยายที่ผมเคยอ่านและจินตนาการไว้ มันย้อนตัดเข้ามาในหัว สลับกับภาพที่ผมเห็นตรงหน้า จากคนไม่เสพอาร์ต สถานที่แห่งนี้ทำให้ผมเข้าถึงศิลปะได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมเดินวนไปวนมาชื่นชมกับศิลปะในมหาวิหาร
เดินจนได้เวลาสัก 8 โมงเรารีบไปขึ้นยอดโดมกันครับ กลัวคนเยอะ ตอนนี้ยังไม่ 8 โมงดีแต่เจ้าหน้าที่ให้ขึ้นได้แล้วครับ
“เดินอย่างเดียว 550 ขั้น 5 ยูโร แต่ถ้าขึ้นลิฟท์แล้วเดินต่ออีก 300 ขั้น เสีย 7 ยูโร”
ผมขึ้นลิฟท์ไปแล้วเดินต่ออีก 300 ขั้นก็มาเจอมุมในฝันที่ทำให้อยากมานครวาติกันอีกครั้ง แสงกำลังสวยด้วยครับ ฟินเวอร์
มุมเดิมกับข้างบนแต่แสงเปลี่ยนไปแล้ว ลองมองไปเห็นเล็กๆตรงหลังเสากลางไหมครับ คนเริ่มต่อแถวยาวมากกกกกแล้ว ยิ่งสายแถวยิ่งยาว
บนนี้ยังมองเห็นเมืองโรมแทบทั้งเมือง คุ้มค่ากับการมาจริงๆ
. พอลงจากยอดโดมลงมาและออกมาด้านหน้า ผมได้พบกับ Swiss guard ชายหนุ่มแต่งตัวเป็นขุดนางโบราณยืนหน้านิ่งผู้ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในวาติกัน ซึ่งการจะมาเป็น Swiss Guard ได้นั้น ต้องเป็นคนสวิสจริงๆและนับถือคาทอลิก อีกทั้งต้องได้รับการฝึกฝนทหารจากสวิสเซอร์แลนด์มาเรียบร้อยแล้ว
. กลับไปนอนพักสายๆก็ไปเดินเล่นแถว วิหาร Pantheon และ น้ำพุเทรวี ที่อยู่ใกล้ๆกัน ก่อนถึงน้ำพุเทรวีสองข้ามทางเต็มไปด้วยร้านค้าและนักท่องเที่ยวแน่นเอียด และแล้วพวกเราเดินจนถึงอีกหนึ่งแลนด์มากสำคัญของกรุงโรม น้ำพุเทรวี (Trevi fountain) ในวันที่เราไปเป็นช่วงที่ปิดซ่อม ซ่อมแบบรีโนเวทยกชุด ตอนที่เจอพี่คนไทยที่เมืองฟลอเร้นซ์เค้าบอกว่าว่าไม่ต้องไปก็ได้ แต่ไหนๆมาแล้วก็ไม่ควรพลาดใช่ไหมหล่ะ ไปดูตอนมันซ่อมสักหน่อยให้ได้ชื่อว่ามาถึงแล้วก็ยังดี
เราเดินต่อมุ่งหน้าไปยังวิหาร Pantheon ก่อนถึงวิหารมีร้านไอศกรีมหน้าตาดูหรูหราไฮโซชื่อร้าน Venchi อยู่ทางขวามือ แพงกว่าร้านอื่นแต่อร่อยมากกกก โคนใหญ่ได้ 4 สกู้ป 5 ยูโร
. ด้านหน้าวิหาร Pantheon เป็นลานน้ำพุที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน วิหาร Pantheon มีอีกชื่อเรียกเท่ๆว่า Temple to All Gods ด้านหน้าวิหารเป็นเสาหลายๆแท่งแต่ด้านหลังเป็นทรงกระบอกดูน่าสนใจ เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะมองเห็นบนสุดตรงกลางมีรูกว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เมตรเป็นช่องแสงที่ให้แสงสว่างกับวิหารแห่งนี้ ถือเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาชมแสงลอดกลางวิหารถ้ามาถูกช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตั้งตรง จะเห็นลำเป็นลำแสงพุ่งลงมาจากฟ้าจรดพื้นวิหารดูเหมือนเทพกำลังจะลงมาสู่โลกมนุษย์ ซึ่ง..เรามาไม่ตรงเวลาเลยได้แค่นี้ 555
วันสุดท้ายกับปลายฝัน
. เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง ผมไม่ตั้งนาฬิกาปลุก ตื่นมาสายๆเดินไปซุปเปอร์ซื้อของมาต้มกินในโฮสเทล ผมแพ๊คกระเป๋าครั้งสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย และออกไปเที่ยวเมืองโรมแบบสบายๆตอน 11 โมง ตั้งใจว่าจะเก็บตกจุดสำคัญใน tourist map ที่เหลือเท่าที่พอไหว จุดแรกที่ไปคือตรงสถานี Republica ตรงกลางจะเป็นน้ำพุขนาดใหญ่
. ผมมองไปด้านขวาเจอโบถส์ที่มีชื่อเขียนไว้ว่า Santa Maria degli Angeli e dei Martiri ลองไปเดินเล่นสำรวจดู ข้างในสวยมากๆ สวยเทียบชั้นโบถส์ชื่อดังหลายที่เลย แปลกใจที่ไม่เห็นมีคนไทยพูดถึงเลยแม้แต่น้อยกับโบถส์นี้
. ผมเดินต่อแบบงงๆกลับไปที่ โบสถ์แห่งหนึ่งสวยเว่อร์วังอลังการ ด้านในสีทอง ทราบชื่อทีหลังว่าคือ basilica di santa maria maggiore (มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเร ) ที่ผมจะไปตั้งแต่แรกแล้วหลงไปอีกที่นั่นหล่ะ มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเรเป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดของโรมเเละเคยใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวของพระสันตะปาปาในสมัยก่อน เมื่อผมก้าวเข้าไปก็ได้พบกับชายวัยทองกลุ่มหนึ่งกำลังร้องประสานเสียงอยู่ ทำเอาบรรยากาศดูทรงพลังขึ้นมากไปอีก
. ผมเดินกลับไปที่สถานี Termini ซึ่งหน้าสถานีรถไฟจะเป็นท่ารถบัสด้วย ผมขึ้นรถบัสสาย 40 ตั้งใจจะไปเก็บตก Piazza navana อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ปรากฎในแผนที่นักท่องเที่ยว แต่นั่งมองวิวเพลินไปหน่อย รถมาจอดถึงวาติกันแล้ว ผมรู้ตัวว่าเลยแน่ๆรีบวิ่งลงจากรถ ไหนๆมาถึงนี้แล้ว ก็ลงมาดูผู้คนสักหน่อย นครวาติกันตอนบ่ายที่แดดร้อนแต่คนก็ยังคึกคักและดูจะมากกว่าตอนเช้าอีกด้วยซ้ำ
. นั่งบัสย้อนกลับไป Piazza navana บรรยากาศภายใน Piazza นี้ดีมากๆ ดีกว่าที่ผมคิดไว้ กลางจตุรัสยังมีน้ำพุขนาดใหญ่ผลงานของ Bernini ชื่อว่า Fountain of the Four Rivers แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจไม่ใช่สถานที่แต่เป็นเพราะรอบๆจัตุรัสนี้ บรรยากาศคลื่นเครง มีนักเล่นดนตรีเปิดหมวก คนขายของ คนแต่งกายเป็นอัศวินมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป มีการแสดงเปิดหมวกนับสิบคน มีรับวาดภาพเหมือน และศิลปะมากมายเต็มไปหมดเลย เสียงเพลง การแสดง และสถานที่สวยๆเข้ากันอย่างลงตัวราวกับมีคนจัดวาง
. นั่งรถบัสต่อกะไปต่อรถไฟใต้ดินตรงโคลอสเซียม ระหว่างทางกลับก็เจอ Vittoriano Emanuele Monument (ที่เจอเมื่อวันแรกที่มา) มีคนลงเราก็เลยลงตามไปเดินสำรวจหน่อย ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจมากครับ เดินขึ้นถึงด้านบนจะเห็นวิวโรมได้ไกลเลย น่ามาสุดๆเข้าฟรีด้วย
จากนั้นก็เดินย้อนกลับไปโคลอสเซียม ตั้งกล้องถ่ายรูปตัวเอง ถ่ายหลายเทคจนคนนั่งแถวนั้นมาถ่ายว่า
. มองนาฬิกายังพอมีเวลาอีกนิดก็เลยไปเก็บแลนด์มาร์คในแผนที่สุดท้าย ใกล้สถานี Flaminio ชื่อว่า Piazza del Popolo ที่นี่เป็นลานจตุรัสกว้างมองเห็นเสาโอเบสิก์ปลานิเนียมตั้งโดดเด่นอยู่กลางจตุรัส ตรงกลางบันไดหินอ่อนรอบเสาเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกำลังนั่งพักเล่นพูดคุยกันอยู่
ผมเดินต่อไปยัง ถนนเวียคอร์โซ (Via del Corso) ถนนสายยาวที่เต็มไปด้วยร้านขายของ 2 ข้างทาง ผู้คนพลุกพล่าน ตลอดสองข้างทางจะมีศิลปินเปิดหมวกตลอดทาง เป็นถนนที่น่ามาเดินสุดๆเลย
. ผมเดินต่อไปเรื่อยๆลองดูนาฬิกาตอนนี้ 4 โมงครึ่ง ใกล้เวลาที่นัดเพื่อนไว้ตอน 5 โมงแล้ว ผมหยิบมือถือมาเปิด GPS ดูอีกรอบว่าตอนนี้อยู่ไหนและสถานีใต้ดินที่ใกล้ที่สุดผมอยู่ไหน ผมเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ว่าเดินอีกนิดเดียวก็ถึงบันไดสเปนแล้ว
. ถึงบางอ้อว่าถนนนี้คือเส้นเชื่อมระหว่างPiazza popolo กับ บันไดสเปนจากถนนที่อยู่นี้เดินต่ออีกนิดแล้วเลี้ยวขวาจะเข้าสู่ถนน Condotti (Via Condotti) ถนนสายยาวที่เต็มไปด้วยร้านแบรนด์เนม ถนนช็อปปิ้งชื่อดังของเมืองโรมนี่เอง มิน่าคนถึงครึกครื้นขนาดนี้ ผมเดินไปถึงบันไดสเปนถ่ายภาพและซึบซับบรรยากาศครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปยังโฮสเทล แบกเป้ขึ้นหลังครั้งสุดท้ายและเดินทางไปสนามบินด้วยรถบัส
ทางเลือกที่จะไปสนามบินมี 2 ทางเลือก คนทั่วไปมักจะนั่งรถไฟความเร็วสูงในราคาคนละ 16 ยูโร แต่สำหรับนักเดินทางสายยาจกแบบเราตัดสินใจเลือกไปด้วยรถบัส ราคาเพียงคนละแค่ 4 ยูโรเท่านั้นเองถูกกว่าตั้ง 4 เท่า
บ้านเรา
1 ทุ่ม 45 นาทีผมจำเวลานี้ได้ดี เคลื่อนบินที่หอบความฝันทั้งหมดได้พาผมกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เคลื่อนบินจอดลงผมเปิดมือถือโทรหาแม่ด้วยความสุข ไม่นานเกินรอนักกระเป๋าออกจากสายพาน พวกเรารีบวิ่งไปหยิบเป้แบกขึ้นหลัง เราบอกลากันแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมถึงบ้านด้วยรู้สึก “เต็มอิ่มกับการท้าลุยฝัน” ผมได้รับประสบการณ์ในชีวิตในทริปนี้มากจริงๆ มันมากเกินกว่าหนังสือเล่มใดจะให้ได้
อิตาลีไม่ใช่ตอนจบ มันกลับเป็นการเริ่มต้นความฝันครั้งใหญ่ตังหาก
.
.
ปีหน้าเราคงได้เจอกัน “ลางานไปตามฝันปี 2 Norway – Iceland”
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!