Site icon Chill Journey | Thai Travel & Lifestyle blog

ชวนแม่ แบกเป้เที่ยว’ ญี่ปุ่น 10 วัน จากโตเกียวถึงโอซาก้าช่วงสงกรานต์ [ Chill Journey ]

55ca364981584e2141a245be

เอาเข้าเรื่องดีกว่า ญี่ปุ่นนี้ผมไปมาตั้งแต่เดือน เมษา 2557 นะครับ ก่อนที่จะไปนครวัดอีก 3 เดือน มันเริ่มจากคุณแม่ผมไปญี่ปุ่นมา 20 ปีมาแล้วเค้าอยากไปอีกรอบไอ้ผมนี่ไม่เคยคิดจะไปญี่ปุ่นเล้ย เพราะรู้สึกว่าญี่ปุ่นแพงเหลือเกิน คือถ้าจะแพงขนาดนี้ขอไปยุโรปแทนดีกว่าไหมอะ?แต่เมื่อแม่เราอยากไปเราก็เลยจัดให้ จะไปกับทัวร์ก็เสียชื่อผมหมด ก็เพราะมันแพงงงงงงมากกกกก ช่วงสงกรานต์ซากุระ 8 วันนี่เฉียดๆแสนกันเลย
คิดว่าผมมีปัญญาไปไม๊ ? …. ไม่มีครับ (ทริปนี้เราหมดไปคนละประมาณ 4 หมื่นห้า รวมทุกสิ่งอย่างครับ )

ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อแชร์ประสบการณ์ไปญี่ปุ่นพร้อมผู้สูงอายุด้วยครับ ว่ามันทำได้จริง … ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุมาก มี Priority line ให้เสมอ มีที่นั่งให้เสมอ ตามสถานีรถไฟกว่า 95% ก็มีลิฟหรือบันไดเลื่อนครับ อีกคำถามคือภาษาญี่ปุ่นจำเป็นต้องพูดได้ไหม บอกเลยว่า “ภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องรู้”ผมพูดไม่ได้สักคำก็พาครอบครัวเที่ยวได้ครับ

หลายครั้งเรามัวแต่เที่ยวกับเพื่อน ก็เพราะมันสนุกหนิ อยากลุยไหนก็ไป จนลืมไปว่ามีคนที่คอยให้เราพาไปเที่ยวอยู่รึเปล่า? ถ้าคิดว่าพาไปเที่ยวเองไม่ได้ ก็ไปกับทัวร์ก็ได้นะครับพาเค้าไปเถอะ ออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายให้แม่นะครับ พาเที่ยวอย่างเดียวครับ เอาเป็นว่าแทนที่เค้าจะต้องจ่ายแสนหนึ่ง เราพาเที่ยวสนุกกว่า มันกว่า ถูกกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการตอบแทนละกันครับ 555

ผมจะพาคุณแม่ไป ตปท.ด้วย ปีละ 1 ทริปส่วนเวลาที่เหลือก็จะเป็นของผมไปกับเพื่อนเหมือนคนอื่นทั่วไป การจัดโปรแกรมเมื่อมีผู้สูงอายุไปคือต้องแพลนให้ดี ทริปลำบากลำบนไม่ต้องชวนเค้าไปครับเน้น “เดินน้อย” ให้มากที่สุด ทริปนี้เป็นทริปนี้ผมไม่ค่อยพอใจภาพเท่าไหร เพราะผมไม่มีเวลาไปรอถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น/ตก เดินขึ้นหาไปหามุมดีๆ แบบเวลาไปกับเพื่อน เพราะเราไม่อยากให้คนที่มากับเราต้อง “รอ”แต่ยังไงมันก็สนุกและภูมิใจครับ

เล่ามายาว…สรุปแม่และพี่ตกลงปลงใจ ให้ไกด์เถื่อนอย่างผมนำเที่ยว เรื่องน่าแปลกคือยิ่งเที่ยวเยอะ ก็ยิ่งอยากให้แต่ละทริปนานขึ้นเรื่อยๆ ( เชื่อว่าคนชอบเที่ยวคงเป็นหมด คือแบบว่าไปเที่ยว 3 วัน 2 คืนนี้ คิดในใจว่าไปทำไมอะ แค่บินก็หมดเวลาแล้วไหม )ทริปนี้จัดไปเบาะๆ 10 วันถ้วน และเราบิน china eastern ที่บินตอนกลางวันทั้งไปกลับ ดังนั้นเราจึงเหลือเวลาเที่ยวเต็มๆที่ 8 วัน ตอนแรกก็คิดว่าเวลาจะเหลือเยอะ แต่พอจัดโปรแกรม จัดไปจัดมาโปรแกรมแน่นมากกกกกกกก ตัดแล้วตัดอีก แค่วางแผนก็หลงรักประเทศนี้เข้าซะแล้วครับ

คำแนะนำของผมก็คือว่าควรเที่ยวทีละโซนครับ ฝั่งโตเกียว ไม่ก็ฝั่งโอซาก้าแต่ถ้าใครคิดว่าไม่มีโอกาสได้ไปบ่อยๆจัดตามผม ผมว่าก็โอเคนะ เที่ยว 2 โซนแบบนี้เหนื่อยหน่อย ไปแต่ที่ดังๆ แต่ไปทีเดียวได้ครบเลย แล้วแผนนี้สามารถนำไปลอกได้เลย คือแม่ผมอายุมากแล้ว ( 60+ ) ยังไปไหว แปลว่าพวกคุณไปตามนี่สบายๆแน่นอนครับ

แผนของเราก็คือตามนี้นะครับ ขออนุญาตไม่ลงดีเทลการเดินทางระหว่างรีวิวนะครับเพราะว่ากระทู้ญี่ปุ่นเยอะมากอยู่แล้วคือจะไปญี่ปุ่นนี่ไม่ต้องซื้อหนังสือสักเล่ม ในพันทิปมีละเอียดมากถึงมากที่สุด

9-18 Apr 2014
Day 1 : BKK – Tokyo
Day 2 :Tokyo
Day 3 : Osaka
Day 4 : Kyoto
Day 5 : Takayama
Day 6 : Takayama- Shirakawa-go
Day 7 : Tokyo
Day 8 : Tokyo – Kawaguchiko
Day 9 : Kawaguchiko – Tokyo
Day 10 : Tokyo – BKKDay 1 : BKK – Tokyo
เราเดินทางด้วยสายการบิน China eastern airlines หลายคนคงยังไม่เคยได้ยินชื่อ ผมก็ไม่เคยใช้บริการมาก่อนเหมือนกัน ผมเลือกเพราะเจอจาก skyscanner เป็นสายการบิน Full service ที่ออก/กลับไทย ในวันที่ต้องการและราคาไม่แรง ได้มาในราคา 16,215 บาทต่อคนครับ
( ตอนนั้นยังไม่มี Thai airasia X )
ส่วนเรื่องวิธีหาตั๋วถูก ผมได้เขียนกระทู้ไว้ให้แล้ว อ่านได้ที่ http://pantip.com/topic/32668152

คนอ่านอาจบอกว่าไม่เห็นถูก แต่ผมจองช่วงเดือนกุมภาพันธ์แล้วครับ สายการบินที่บินตรงราคาทะลุ 4 หมื่นไปเรียบร้อยแล้วครบทุกเจ้าเพราะฉะนั้นใครคิดจะไปช่วงซากุระให้รีบจองแต่เนิ่นๆเลยนะครับ

เอาเป็นว่าจะเป็นการรีวิวสายการบินนี้เล็กน้อย ส่วนตัวให้ 8/10 คะแนนครับทุกอย่างดีหมด อาหารพอทานได้ กระเป๋าให้โหลดได้ 46 กิโลต่อคน
เราไปกัน 3 คน 46*3 = 138 กิโล ปลื้มข้อนี้มาก ขนขนมกลับมาแบบสบายๆ ถ้าหาสายการบินอื่นถูกๆไม่ได้ china eastern ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีครับ

Day 2 : Tokyo
.จากการเดินทางยาวเมื่อวานทำให้เราตื่นกันค่อนข้างสาย กว่าจะออกจากที่พักก็เกือบ 10 โมงแล้วหล่ะ วันนี้จะใช้ Metro pass ประมาณ 1000Y ใช้ใต้ดินได้เกือบทั้งโตเกียวเลย
สถานที่ๆเราจะไปที่แรกคือ “Chidorigafuchi” สถานที่ชมซากุระในโตเกียวที่น่าจะสวยที่สุดแล้ว เป็นที่ๆผมฝันไว้สำหรับทริปนี้เลย

เคล็ดไม่ลับ – ซากุระจะบานประมาณปลายเดือนมีนา ดังนั้นเราไปวันที่ 11 เมษา เพราะฉะนั้นซากุระได้เลยช่วงเวลาที่สวยที่สุดไปแล้ว แต่อย่างไรผมว่ามันก็ยังสวยอยู่ดีนะ ผมคิดเสมอว่าได้ไปเห็นด้วยตาดีว่ามันไม่สวย ดีกว่าคนบอกว่ามันไม่สวยเราเลยไม่ไป

พายเรือกันมุ้งมิ้ง หวานน่าอิจฉาเกิ้น

ร่วงไปกว่า90%แล้วครับ ใครอยากไปฟินกับซากุระในโตเกียวให้ไป “ปลายมีนา” ครับหลังจากชมที่ Chidorigafuchi เสร็จเราก็เดินไปที่ ศาลเจ้ายาสุกุนิ (Yasukuni Shrine)
ศาลเจ้าที่มีดราม่า ระหว่างประเทศเป็นประจำ เพราะเป็นศาลเจ้าที่สร้างแทนลัทธิญี่ปุ่นที่เคยโหดเหี้ยมในอดีต
ใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมก็ลอง google ดูแล้วกันครับ

บรรยากาศด้านในค่อนข้างดีเลยหล่ะ ซากุระร่วงปลิวไปปลิวมา ฟรุ้งฟริ้ง มากกกกก

เที่ยงแล้ว กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตอนนี้มาถึงวัดอาซากุซะแล้ว เค้าว่าต้องกินเทมปุระเจ้าดัง หันหน้าเข้าวัดอยู่ทางขวามือเลยครับ
มื้อนี้เลยโดนไป 1500Y กระอั้กเลือดเลย

รสชาติก็อร่อยดีครับ คือไม่เหมือนเทมปุระบ้านเราหน่ะ ถ้าพอเจียดเงินมากินได้ก็น่าลอง แต่ถ้างบน้อยผมว่าไม่ต้องก็ได้ไม่ได้อร่อยเลิศอะไรมากอะนะ

กินอิ่มแล้วก็เดินเที่ยวต่อได้ ไปวัดยอดฮิตของคนไทยกันครับ วัดอาซากุซะ สัญลักษณ์คือโคมแดงใหญ่เบิ้มนี่เอง

บรรยากาศทางเดินระหว่างเข้าไปในวัด ของกินของใช้เยอะแยะมากกกก และ ที่สำคัญคนไทยเยอะมาก
ภาษาไทยว่อนเลย คือที่นี่คนไทยยึดแล้วใช่ไหม?

วัดอาซากุซะจะให้ไหว้ปักธูปด้านนอก คนญี่ปุ่นมีธรรมเนียมในการปัดควันธูปเข้าตัวเหมือนเป็นการนำสิ่งดีๆเข้าชีวิต

ไหว้เสร็จเดินมาทางด้านซ้ายจะเจอพระปางคล้ายที่ karakuma เลยครับ

ปกติเวลาไปเที่ยวจะใช้จ่ายไม่เยอะ แต่ไม่รู้ทำไมกิน Soft cream ชาเขียวได้ทุกวัน ไม่ได้ถูกๆแท่งละ 70-80 บาท

ผมตั้งใจจะไปถ่ายพระอาทิตย์ตกกับเมืองโตเกียวที่ Tokyo Metropolitan Government Building
เนื่องจากที่นี่ขึ้นตึก “ฟรี”

เมื่อขึ้นไปชั้น 54 แล้วรอพระอาทิตย์ตกส่องเมือง ก็สวยไปอีกแบบ แต่ไม่ได้รอถึงเปิดไฟครับไม่อยากให้แม่รอนาน
แต่ก็โอเคหล่ะ ได้เท่านี้ก็พอใจแล้ว”มหานครโตเกียว” มันช่างอลังการ

พระอาทิตย์ตกเรียบร้อยก็ได้เวลากลับที่พัก ก่อนกลับเราได้แวะซื้อซูชิจากซุปเปอร์ ห้าง Tokyo (โตคิว)สาขา Shibuya
ญาติเราที่อยู่ญี่ปุ่นบอกว่าห้างนี้อร่อยสุด เพราะที่ตรงนี้เคยเป็นตลาดปลามาก่อน ก่อนสร้างห้างทับ ทำให้คนขายจะเป็นผู้สืบทอดมาจาก
#$#@$@# เอ่อ…..นั่นแหละทำให้อร่อยสรุปคือสาขานี้อร่อยเลยซื้อซูชิกลับบ้าน

ซูชิในห้างของญี่ปุ่นอร่อยมากๆนะครับ ไม่ใช่ไก่กา หลัง1ทุ่มครึ่งมักจะลดราคาด้วยนะ ห้ามพลาด

แยก Shibuya มายืนดูคนเค้าข้ามถนนก็ตื่นเต้นละ

สื่อถึงความเป็นมหานครได้อย่างดี

Day 3 : Osaka

วันนี้เราจะเริ่มใช้ JR Pass วันแรก ด้วยการนั่งรถไฟ Shinkansen รถไฟหรูหราสุดไฮโซ นั่งสบายกว่าเครื่องบิน economic class
และเนื่องจากที่พักเราอยู่ใกล้เมือง Yokohama แล้วดังนั้นเราจึงไปขึ้นรถไฟกันที่สถานี Shin-Yokohama และเป้าหมายเราคือ Shin-Osaka

เคล็ดไม่ลับ – การนั่งรถไฟจาก Tokyo-Osaka ให้จองที่นั่งทางด้านขวา เพราะช่วงหนึ่งจะผ่านภูเขาไฟฟูจิ ถ้าอากาศดีเราจะมองเห็นอย่างชัดเจน

หลังจากนั่งรถไฟมาสักพักก็ได้เจอฟูจิสมใจ โชคดีมากๆเพราะภูเขาไฟฟูจิขึ้นชื่อเรื่องขี้อาย หลายคนมาญี่ปุ่น 3 รอบแล้วยังไม่เคยได้เห็นสักครั้ง
แต่ผมเห็นแต่ครั้งแรกที่พบเจอเธอ มันช่างประทับใจจริงๆ

เป้าหมายถัดไปของเราก็คือ Osaka castle มาถึงเมืองนี้ทั้งทีจะพลาดได้ไง
เดินประมาณ 2 หอบก็มาถึง จริงๆผมแพลนโปรแกรม Osaka ไว้แน่นมากอยากใช้เวลาให้คุ้มที่สุด
แต่แม่ไม่น่าไหว ตัดได้ตัดครับ

ชั้นบนสุดนี้สามารถมองกลับไปที่เมือง Osaka ได้วิว 360 องศาเลย
ด้วยอานิสง ที่มากับแม่ ผมเลยได้ขึ้นลิฟท์มาด้วย ปกติจะต้องเดินขึ้นเองนะครับ ยกเว้นผู้สูงอายุ หรือ เด็กเล็กเท่านั้น

เมื่อชมปราสาท ให้คุณแม่พักเหนื่อยจนเต็มอิ่มแล้วตามแผนวันนี่เราจะไปล่องเรือ Cruise ship Santa maria กันที่รวมไปใน Osaka pass
(ค่าล่องเรือแพงมาก ถ้ามีเวลาควรมานั่งเพื่อความคุ้มของ Osaka pass ) แต่ดูจากเวลาไม่ทันแน่ๆ เลยถามแม่อยากไปไหน
แม่ผมอยากไปสวนสาธารณะ ก็เลยไปกันมี Osaka day pass อยู่แล้วนั่ง metro unlimit อยากไปไหนก็ไป

แม่จิ้มไปในแผนที่ได้มาจาก guild book ตอนเราซื้อ Osaka pass นั่นคือ Tsurumiryokuchi Park
วิธีการไปก็ให้นั่ง metro มาลง สถานีTsurumiryokuchi Station

มาก็ไม่ผิดหวังครับเพราะว่าสวนนี้ ซากุระบานเต็มที่พอดี ฟินๆกันไป

ภายใน Tsurumiryokuchi Park จะมี Sakuya Konohana Kan ที่เป็นโดมแสดงต้นไม้เมืองร้อน

ชมเสร็จก็มืดพอดี ได้เวลาตะลุยค่ำคืนของ Osaka แน่นอนว่าเราไปที่ยอดฮิตอย่าง“Dotonbori “
แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง….อีกแล้ว นี่จะกินอย่างเดียว เลยเหรอ

มาถึง Osaka ทั้งทีก็จัดต้องจัด ทาโกยากิ ของดีเมือง Osaka

เราได้กินร้านดังด้วยนะตอนนั้น คนไม่เยอะ รอคิว 10 นาทีเอง วิธีเดินหาไม่ยากเข้าไปที่แถวๆ Dotonbori แหละร้านอยู่ปากทางเลย

ซูมซูม … รสชาติอร่อยมากกกกกกกกก ยังติดใจอยู่เลยครับ ทาโก๊ะที่ร้านนี้จะนุ่มๆนิ่มๆ แป้งไม่แข็งแบบบ้านเรา

เสร็จจากการกินเราก็ไปเดินเล่นต่อใน Dotonbori ย่านแสงสีของ Osaka
สำหรับขาช็อป เดินไปอีกนิดก็จะมี Nippombashi ที่นี่มีพันหมดพัน มีหมื่นหมดหมื่น ของเยอะมากกกกกกก

เดินชมเสร็จ เราก็ใช้ Osaka pass ต่อคือการนั่งเรือ Tombori River Cruise สนุกดีครับ แนะนำให้นั่งนะDay4 : Kyoto ชมเมืองหลวงเก่า เกียวโต

ถ้าใครไป Kyoto, Japan เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น สถานที่ๆไม่ควรพลาดก็คือ Arashiyama วิธีไปก็ไม่ยากนั่ง JR จาก Kyoto station ไปถึงเลย
ให้ลงที่สถานี JR Saga Arashiyama จากนั้นนั่ง Sagano train ไป เวลากลับถ้ามีเวลาเยอะให้นั่งเรือกลับ ล่องแม่น้ำสีเขียว บรรยากาศดีมากๆเลยครับ

เราตั้งใจจะมาขึ้นรถไฟอย่างเดียว ผมมองเรือแล้วก็คิดในใจ อยากล่องแม่น้ำกลับจัง อยากนั่งแต่กลัวคนอื่นจะต้องรอ ระหว่างมึนงงตอนอยู่สถานีปลายสายกลับกันยังไงดีหว่า เพราะผิดแผนจากที่อ่านมา ก็ชวนแม่นั่งเรือกลับกัน

ถ้าจะขึ้นเรือต้องนั่งรถไฟไปอีก 2 สถานีครับ แต่ในสถานีตอนนั้นฟินมากกกก รอรถ 15 นาทีไม่เบื่อเลย เพราะซากุระมา”เต็ม”

เตรียมขึ้นเรือแล้วครับ เรือจะล่องตามเส้นที่รถไฟวิ่งมาหน่ะแหละ ไปสุดที่แถวๆสะพาน Togetsukyo Bridge
สะพานดังของ Arashiyama หน่ะครับ

บรรยากาศดีมาก ปราบปลื้ม ถ้ามากะทัวร์คงไม่ได้เปลี่ยนแผนกะทันหันแบบนี้

อย่างที่บอกครับว่าจะมาสุดแถวๆแถวๆสะพาน Togetsukyo Bridge
ซึ่งแถวนี้เค้าก็มีเรือพายบริการเหมือนกันนะ แต่ผมว่าไปล่องกลับมาแบบผมดีกว่า

Togetsukyo Bridge

สาวๆท่านใดอยากนั่งรถลากแบบนี้ มีหนุ่มๆญี่ปุ่นหน้าตาดีให้บริการลากครับ 555

จบจาก Arashiyama ก็ไปต่อที่วัดทอง กันครับ วิธีการไปไวสุดคือนั่งรถไฟ
JR Saga-Arajima st. => JR Enmachi st.
จากนั้นเดินข้ามแยกไป แล้วนั่งรถบัส No.204 /205ต่อครับ ไวกว่านั่งบัสล้วนๆ

วัดทอง วัดอิคคิวซัง อะไรก็แล้วแต่ ผมมาถึงแล้วครับ

เย็นเราไปที่ “วัดน้ำใส” วัดโคตรยอดฮิตของคนไทย
และผมก็โชคดีอีกแล้ว คือวันนั้นมี lightup วัดเปิดไฟตอนกลางคืนพอดี (โดยบังเอิญ)

ใครจะไปเกียวโต ยังไงก็ลองเช็คเว็บดูนะครับ ว่าตรงกับช่วง light up หรือเปล่า
ถ้าช่วงปลายปีนี้ก็ 14 พย.-14 ธค. 2014 จะมี light up ให้ดูกัน
เพิ่มเติมดูที่ : http://www.kiyomizudera.or.jp/lang/01.html

Day 5 : Takayama

ฮิดะ ทาคายามะเป็นเมืองเล็กๆน่ารัก แค่รถไฟ Hida wide view ที่นั่งจาก Nagoya ไป Takayama ก็สุดฟินแล้วครับ
อ้อ… เป็น JR ด้วยนะรวมไปใน JR pass แล้วครับ

มาถึงแล้วเก็บของที่พักชื่อ Hotel Hodakaso Yamano Iori โรงแรมนี้เป็น Highly recoommend จากผมเลยนะครับ
ถูก และ ดี ยังมีในโลก จองยากนิดหนึ่งเพราะห้องพักน้อย แต่ออนเซ็น แจ่มมากกกก
http://hidatakayama-yamanoiori.jp/index_e.html

Q : มีคนถามว่าที่นี้ดีอย่างไร
A : ใกล้สถานี JR Takayama เดิน 150 เมตรถึง , ห้องพักเป็นแบบ เรียวกังโบราณ มีออนเซ็นอย่างดี ซึ่งปกติห้องแบบนี้จะแพงมากๆ
ค่าห้องประมาณ คนละ 3000Y ไม่รวมอาหารนะครับ ถ้าอยากกินเค้าก็มีเซ็ตให้
มีรถไป Shirakawa-go ราคาไปกลับคนละ 2000Y ครับทั่วไปค่ารถ 4000Y++
ข้อเสียอย่างเดียวคือไม่มีห้องอาบน้ำในตัว แต่ถ้าใครไม่อาย ไปอาบในออนเซ็น สบายกว่าเยอะครับเดินเล่นชมชิมของฝากย่านเขตเมืองเก่าซันมาจิ ซูจิ
บรรยากาศแบบ ยี่ปุ้น ญี่ปุ่น …

Day 6 : Takayama festival – Shirakawa-go

โชคดีอีกแล้ววันที่เราไปตรงกับเทศกาล Takayama Matsuri เทศกาลแห่เกี้ยวของเมืองนี้พอดีครับ

เทศกาล Takayama เป็น 1 ใน 3ของเทศกาลที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมือง Takayama ซึ่งเป็นเมืองเกษตรกรรมเล็กๆที่ตั้งอยู่ในหุบเขาในจังหวัด กิฟุ ถือเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่ในระดับหนึ่งและเคยรุ่งเรืองเกือบเทียบเท่าเมืองเกียวโต
เทศกาล Takayama แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ในฤดูใบไม้ผลิ (ในเดือนเมษายน) จะถูกเรียกว่า Sanno Matsuri หรือ Takayama Spring Festival และ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ในเดือนตุลาคม) เรียกว่า Hachiman Matsuri หรือ Takayama Autumn Festival
source : http://www.hida.jp/thai/events/takayama-festival/takayama-autumn-festival

น่าเสียดายที่ปีนี้ซากุระออกช้า ปกติเทศกาลนี้จะจัดประมาณ 14 เมษาซึ่งตรงกับช่วงซากุระบานเต็มที่พอดี

สะพานแดง สะพานชื่อดังของเมืองนี้ครับ ถ้ามาเมืองนี้ไม่ได้ถ่ายสะพานนี้ เหมือนมาไม่ถึง

เราอยู่เทศกาลถึง 10 โมง เนื่องจากเวลาจำกัด เราต้องไปขึ้นรถบัสไปที่ Shirakawa-go
หมู่บ้านโบราณ มรดกโลกของญี่ปุ่น เป็นบ้านหลังคาสามเหลี่ยมแบบนี้

หมู่บ้านนี้อีกหนึ่งสถานที่ในฝันของผมครับ และที่ผมบอกว่าผมพักที่Hodakaso Yamano Iori
โรงแรมนี้มีรถบัส รับส่ง ที่หมู่บ้าน Shirakawa-go ราคาถูกมากกกกก 2,000 Y per person/round-trip

เงื่อนไขคือต้องพักของเค้าเท่านั้นครับ แหม โรงแรมอะไรดีทุกสิ่งอย่างขนาดนี้

ข้ามสะพานนี้ไปก็ถึงหมู่บ้านแล้วหล่ะ

นั่ง shutter bus ขึ้นเขาไปจุดชมวิวครับ

พนักงานบนนั้นถ่ายให้ครับ มีภาพกะแม่แล้วนะ

ส่งแม่ขึ้น shuttle bus ครับส่วนผมตั้งใจจะเดินลง อยากได้บรรยากาศด้วย ประหยัดด้วย

แล้วก็ไม่ผิดหวัง ระหว่างเดินลงได้มุมแปลกๆขึ้นหลายภาพ

Day7 : Tokyo

วันนี้เราจะเก็บตกในโตเกียวกันนะครับ เป็นวันพักในตัว เที่ยวเล็กๆน้อยๆ
รูทที่ผมเลือกจะเน้นใช้ JR นะครับเพราะยังมี JR pass 7 วันอยู่ยังไม่หมด

Tokyo station – imperial palace – Ameyoko – Shibuya – Shinjuku

วันเบาๆแต่ก็เที่ยวจนดึกเช่นเคย ตะลุยย่านช็อปปิ้งครับ Shubuya – Shinjuku

Day8 : Tokyo – Kawaguchiko

วันนี้เราแพลนไว้ว่าจะไป Hakone ต่อด้วย Kawaguchiko แต่คุณแม่เหนื่อยมากแล้วครับ เลยเปลี่ยนแผนตัด Hakone ออก
ญาติเราพาไปทานราเม็งเจ้าอร่อย และช็อปที่ supermarket ชานเมือง ของถูกกว่าในเมืองเยอะเลยครับ แต่ว่าทำ Tax refund ไม่ได้นะ
ผมนี่ซื้อกาแฟ maxim มาเยอะมาก พวกชาเขียว พวกขนม แพคขนมเพิ่มมาได้อีก 2 ลังเลยทีเดียว

ตอนบ่ายเรานั่งรถไฟไป kawaguchiko กันครับ บรรยากาศในรถไฟก็ดีอีกแล้ว คือญี่ปุ่นนี่เค้าใส่ใจกับเรื่องการท่องเที่ยวมาก
มีอะไรเป็นกิมมิค เล็กๆน้อยๆเสมอ ดูจากรถไฟสิครับ ไม่ใช่รถไฟธรรมดานะ รถไฟนี่ไปฟูจิเค้าก็ตบแต่งให้สวยงาม เป็นรถไฟท่องเที่ยว
และ มีป้ายถ่ายรูปให้ด้วยนะ เลยได้ชักภาพกับคุณแม่อีกภาพ

พอมาถึง Kawaguchiko เราก็เข้าที่พักที่ Kawaguchiko station inn
ข้อดี : ราคาไม่แพง และใกล้สถานีรถไฟมาก เอาเป็นว่าข้ามถนนจากสถานีก็ถึงแล้วครับ
ข้อเสีย : ห้องเล็กและไม่สะอาดเท่าที่ควร ไม่มีลิฟท์ มีอ่างแช่น้ำร้อนแบบออนเซ็น แต่ไม่น่าใช่น้ำแร่
site : www.st-inn.com/english/

พอเข้าที่พักเสร็จก็เย็นๆแล้วแต่ bus pass ที่ kawaguchiko นี่เป็นแบบ 2 days pass ผมจึงชวนแม่ไปนั่งรถเล่นสักรอบแล้วกัน
แล้วก็ไม่ผิดหวัง ได้เห็นฟูจิเต็มๆตา ปะทะกับ ซากุระที่กำลังบานเต็มที่พอดี ( 17-18 เมษา )

คงเป็นความโรคจิตของคนชอบถ่ายรูปนะครับ เห็นวิวด้านหน้าสวยๆเราก็มักจะรอให้ถึงช่วง Twilight
แต่รถบัสรอบสุดท้ายก็กำลังจะหมดลง ผมส่งแม่กับพี่ขึ้นรถบัส กลับไปโรงแรมก่อน ด้วยบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้ามันทำใจยากที่จะกลับจริงๆ
เลยตัดสินใจอยู่รอฟ้า Twilightคิดเอาว่าถ้าไม่มีรถจริงๆเดินกลับก็ได้วะ 2-3 กิโล จิ๊บๆ

และฟ้า Twilight ก็มาครับ

หลังจากกดภาพนี้ก็วิ่ง 4×100 ไปที่สถานีรถบัส “เผื่อจะทัน”
แล้วก็ทันจริงๆครับ วิ่งไปถึงปุ๊บรถมาปั้บ ไม่ต้องเดินกลับแล้ว ดีใจสุดๆ
พรุ่งนี้ผมตั้งใจว่าจะไปถ่ายมุมมหานิยมของฟูจิ “chureito pagoda”
Day 9 : Kawaguchiko – Tokyo
ตามความตั้งใจ เช้าผมขึ้นรถไฟไป Chureito pagoda ครับ จากที่พักคือเดินข้ามถนนก็ถึงสถานีแล้วสะดวกมากๆ มองเห็นฟูจิแต่เช้าเลย

ทางขึ้น chureito pagoda แต่เห็นทางขึ้นก็ฟินแล้วครับ 400 กว่าขั้นจิ๊บๆน่า

อีกมุมมอง

เดินไปถ่ายรูปไปมีเพื่อนเดินขึ้นเขาเยอะแยะครับไม่ต้องกลัวอันตราย

และแล้วก็มีภาพ มุมมหาชน ที่ถ่ายด้วยฝีมือตัวเองจนได้ ดีใจสุดๆ

เสร็จจากนั้นผมก็กลับมาที่ Kawaguchiko station และเราก็นั่งรถบัสไปเที่ยวรอบ Kawaguchiko Lake อีกรอบ
แต่ ! ฟูจิหาย ตอนเช้ายังเห็นอยู่เลย พอสัก 10 โมงมันหาย เดวิด คอปเปอร์ฟิว มาทำอะไรกับฟูจิรึเปล่า
โชคดีมากกๆๆๆ ที่เมื่อวานผมตัดสินใจมาถ่ายก่อนรอบหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่มีภาพฟูจิแน่ๆเข้าใจแล้วว่าทำไมคนมาดูฟูจิแล้วไม่เห็นมันเป็นยังไง

ก็เลยมีแต่ภาพซากุระฟรุ้งฟริ้งแทน

Day 10 : Tokyo – BKK

วันที่ 10 วันนี้ไม่มีอะไรพิเศษก็คือขึ้น China eastern บินกลับจากสนามบิน นาริตะ แล้วไป Transit ที่สนามบินเซี้ยงไฮ้ 1 รอบ
จากนั้นก็ขึ้นเครื่องกลับไทยครับ

 

Exit mobile version