. เส้นทางนี้อยากไปมาหลายปีแล้ว ภาพบอลลูนลอยเหนือทะเลเจดีย์เป็น Dream destination ที่ต้องโดน! แล้วตอนนี้พม่าไม่ต้องใช้วีซ่าแล้วมีตั๋วเครื่องบินก็บินไปได้เลย ขอการันตีว่าไปแล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอน 5 วัน 4 คืน ในงบ 10,000 บาทจัดมาเอาไปตามรอยได้มีข้อมูลแค่นี้ก็เที่ยวได้ชัวร์
. ผมออกเดินทางด้วยสายการบิน AirAsia เวลา 10:15 บินตรงมุ่งหน้าสู่มัณฑะเลย์และตามกำหนดการจะไปถึงมัณฑะเลย์ในเวลา 12:20 สายการบิน AirAsia เป็น low cost airline นั้นหมายถึงเค้าขายตั๋วเครื่องบินในราคาประหยัดและไม่ได้รวมค่าโหลดกระเป๋า ค่าอาหารและเครื่องดื่ม ใดๆทั้งสิ้น ซึ่งสายการบินประเภทนี้มีแนวคิดว่า “ทำไมต้องจ่ายเมื่อไม่ได้ใช้” นั้นจึงทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินของสายการบิน low cost airline มีราคาถูกกว่า และเค้าก็ไม่ได้ลดมาตรฐานการบินและความปลอดภัยแต่อย่างใด
. เครื่องบินออกตรงเวลาและเริ่มไต่ระดับขึ้นสู่ระดับคงที่ พนักงานเริ่มให้บริการกับคนที่สั่งอาหารและเครื่องดื่มล่วงหน้า (ซึ่งผมไม่ได้จองมา) หลังจากนั้นจะเริ่มเปิดขายให้กับผู้โดยสารที่ไม่ได้จอง ทีนี้หล่ะก็ได้เวลางัดของเด็ดมาใช้ “บัตรเครดิต” บัตรเครดิต ธ.กรุงเทพร่วมกับ Airasia นอกจากจะสมัครฟรี ได้คูปองโหลดกระเป๋า 4 ใบ และที่นั่งพิเศษ 4 ใบแล้ว ยังใช้รับบริการเครื่องดื่มราคาไม่เกิน 60 บาทฟรีอีกด้วย (ถึงสิ้นปี 2559 ) ผมรู้จักตอนที่จัดทริปไปสิงคโปร์กับแฟนเพจหน่ะ แฟนเพจเอามารับน้ำฟรี ผมกลับมารีบสมัครเลยครับ ใช้ไปประมาณ 6 รอบละโคตระคุ้ม
เครื่องบิน AirAsia มาถึงตรงเวลาถึงสนามบินมัณฑะเลย์ เราต่อแถวผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง(ไม่ต้องใช้วีซ่า) ตม.พม่าจะตรวจต่อคนค่อนข้างถี่ถ้วนจึงใช้เวลานานพอสมควร พอผ่านมากระเป๋าก็มารออยู่แล้วรับจากสายพานแล้วออกไปด้านนอก สิ่งแรกที่ต้องทำคือแลกเงินจากสกุล USD ที่แลกจากไทยให้เป็น KYAT (จั๊ต) มีร้านร้านในสนามบินครับก็ลองเดินเปรียบเทียบเรทดูแล้วกัน ถ้าร้านเรทดีอาจจะรอคิวนาน ถ้าห่างกันนิดๆหน่อยเอาร้านที่ไม่มีคิวก็ดีประหยัดเวลา
เข้าเมือง
. พอแลกเงินเสร็จก็ต้องหารถเข้าเมืองกัน ตอนแรกจะไปรถ shuttle bus ของ AirAsia ครับแต่ตอนนี้ได้ยกเลิกไปแล้วและที่สนามบินไม่มีรถบัสสาธารณะ จึงมีแต่แท็กซี่เท่านั้นในการเข้าเมือง พอออกมาก็จะมีนายหน้ามาถามครับว่าเราจะเข้าเมืองไหม ไปรถเหมา หรือ รถแชร์ … ผมจำไม่ได้ว่าคนละเท่าไหรน่าจะ 6000 จั๊ตต่อคนสำหรับรถแชร์ที่นั่งไป 5-6 คน เราลองๆคิดดูแล้วตอนนี้มีเวลาน้อยมาก (คืนนี้เราจะนั่งไปต่อที่อินเล) จึงคุยกับคนที่มาคุยกับนายหน้าเลยว่า ถ้าเราเหมาไปเที่ยวตามนี้จะคิดเท่าไหร
- ไปวัด 4 วัดทางขวาของ Mandalay Palace ( ใกล้ๆกันหมด )
- Shwenandaw Kyaung
- Atumashi Kyaung
- Kuthodaw Pagoda
- Sandamuni Pagoda
- Mandalay Palace
- ไปส่งที่สะพานไม้อูเบ็ง รอจนพระอาทิตย์ตก
- ไปส่งที่ท่ารถ JJ bus ที่เราจองมา
. สรุปมาว่าทั้งหมดนี้ต่อรองนิดหน่อยได้มา 50,000 จั๊ตผมคิดกับเพื่อนแล้วก็น่าจะโอเค ถ้าเทียบว่าต้องเสียแค่ค่ารถจากสนามบินเข้าเมืองก็ 12000 จั๊ตแล้วก็น่าจะคุ้มมั้ง ก็ไปกันครับลืมบอกว่ารถเป็นเก๋งนั่งได้ 3-4 คน ลุงคนขับรถชื่อ อองซาน ผมจำได้ไม่ลืมเพราะชื่อคล้ายคนดังหน่ะสิ ต่อไปนี้ของเรียกว่าลุงแล้วกัน
ลุงก็ขับพาเราไปวัดแรกจากสนามบินครับนั่งกันยาวๆไปจนถึง Shwenandaw Kyaung แต่ก่อนอื่นต้องซื้อบัตรเข้าโซนมัณฑะเลย์ก่อนราคา 10,000 จั๊ต ซื้อหน้าวัดนี้แหละครับซื้อเสร็จก็ไปเดินสำรวจกัน วัดไม้สักสวยดีครับ บรรยากาศดูเก่าแก่สุดๆ
. วัดชเวนันดอร์ สำหรับวัดนี้เป็นวัดที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง โดยพระเจ้ามินดงได้ทรงให้รื้อเอาไม้สักทองจากพระราชวังเก่ามาก่อสร้าง และเป็นวัดที่พระเจ้ามินดงทรงเสด็จมานั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรม ดังนั้นวัดนี้จึงมีความสวยงามหลากหลายด้วยด้วยสถาปัตยกรรมช่างแห่งมัณฑะเลย์ มีการแกะสลักปิดทอง เป็นวัดที่ผมประทับใจสุดในมัณฑะเลย์เลย
. จากวัดเลยออกมาอีกนิดจะเจอวัด วัดอทูมาชิ (Atumashi Kyaung) อยู่ติดกับวัดชเวนันดอร์ เป็นวัดที่มีความสวยงาม รูปทรงแปลกแตกต่างจากวัดทั่วๆ ไปในมัณดาเลย์ คำว่า “อทูมาชิ” ในภาษาพม่า หมายถึง ความสวยงามอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ ซึ่งวัดนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นอาคารที่งดงามโอ่อ่าที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มแรกสร้างในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มสร้างราชธานีใหม่ของพระเจ้ามินดง ตัวอาคารเป็นสี่เหลี่ยมโดยสร้างครั้งแรกใช้โครงสร้างไม้และก่อปูนฉาบทับ สูงขึ้นไปเป็นส่วนหลังคาทรงสี่เหลี่ยมลดหลั่นกันไป มีระเบียงรอบๆ ทั้ง 5 ชั้น
สำหรับผมที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรหน่ะครับเป็นที่โล่งๆไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากภายนอก
ไปต่อกันอีกวัดอีกสองวัดครับ
- Kuthodaw Pagoda วัดกุโสดอร์ : เป็นวัดที่พระเจ้ามินดง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 และพระองค์ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบพระเจดีย์มหาโลกมารชิน สูง 30 เมตร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม
และปิดท้ายที่วัด Sandamuni Pagoda ผมลืมทำภาพมา แต่เป็นวัดที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมากครับ เราวิ่งเข้าไปถ่ายรูปแป๊ปๆก็ออกมา
. เราใช้เวลาสำรวจวัดทั้งหมดน่าจะภายใน 1 ชั่วโมงครึ่งและไปต่อกันที่พระราชวังมัณฑะเลย์ ( Mandalay Palace ) ถ้าดูในแผนที่จะเห็นว่าใกล้ๆกันเอง เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคมค.ศ. 1945 พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม
. พระราชวังมัณฑะเลย์เป็นการจำลองขึ้นมาก็เลยไม่ได้ดูเก่าและขลังจริง เราเดินเล่นสำรวจแต่ละพื้นที่ทั้งหมดนี้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็รู้สึกว่าหมดสิ่งที่น่าสนใจแล้ว
อ้อ…ที่นี่มีจุดชมวิววนหอคอยครับ ต้องเดินขึ้นบันไดวนไปสูงประมาณตึก 6 ชั้นไม่หนักหนาอะไรแต่ก็แฮ่กเลยแหละ วิวด้านบนเราจะมองเห็นรอบ 360 องศาเห็นทั้งพระรางวังเลยครับคุ้มค่ากับการเดินขึ้นมาแน่นอน
. เราดูเวลาตอนนี้ประมาณ 5 โมงครึ่งรีบไปรอพระอาทิตย์ตกที่สะพานไม้อูเบ็งกันดีกว่า แต่พอมาถึงคนขับไม่อยู่รถครับ! สงสัยลุงไม่คิดว่าเราจะเที่ยวเสร็จไวขนาดนี้ ผมเลยไปหาน้ำอ้อยคั้นสดๆกินแถวนั้นให้พอชื่นใจ (คันสดจริงๆนะเอาอ้อยใส่เครื่องบดออกมาเป็นน้ำเลย )
. พอกินเสร็จเดินกลับมาก็เจอลุงพอดีครับ ลุงขอโทษขอโพย เราบอกไม่เป็นไร ป้ะไปต่อกันดีกว่า ขับรถออกนอกเมืองไปอีกประมาณ 30 นาทีก็จะมาถึงสะพานไม้อูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลกและเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม เรามาถึงก่อนเวลาฟ้าเริ่มสีส้มเล็กน้อย ผมออกเดินไปตามทางสะพานไม้ บางช่วงบางตอนก็จะมีชาวพม่ามาขายของให้กับนักท่องเที่ยวบ้าง แต่ไม่ได้เกะกะจนทำให้คนเดินรู้สึกอัดอัด
มองจากสะพานด้านซ้ายจะเป็นทุ่ง พระอาทิตย์กำลังตกพอดีสวยมากครับ
. ผมยืนถ่ายภาพอยู่ที่มุมหนึ่งและรู้สึกว่ายังไม่ใช่ ผมออกเดินขยับมุมไปเรื่อยๆ ตรงประมาณกลางสะพานผมเห็นเรือนักท่องเที่ยวหลายลำกำลังจอดอยู่กลางน้ำ ถัดไปเห็นกองทัพนักท่องเที่ยวและช่างภาพยืนอยู่ด้านหลัง
. ไม่ผิดแน่มันคือจุดชมวิวที่สวยที่สุดที่เคยเห็นตามภาพแน่ๆเลยผมวิ่งไปตรงกลางสะพาน ตรงนั้นจะมีบันไดให้ลงไปด้านล่างได้ เดินออกซ้ายเลาะริมน้ำไป ตรงที่คนเยอะๆ มองกลับมาจะเห็นสะพานไม้อูเบ็งพร้อมพระอาทิตย์ตกดวงโตอยู่ เป็นวิวที่สวยและประทับใจมากครับ
. ถ้าอยากถ่ายภาพตอนช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตกให้สวยก็ไม่ควรลืมที่จะพกขาตั้งกล้องมาด้วย ผมใช้ของ Fotopro รุ่น X4i-e ตัวนี้ผมเอาไปออกทริปด้วยประจำเพราะมีน้ำหนักเบาเพียง 1.1 KG พับเก็บง่ายสะดวกในการเดินทาง รองรับน้ำหนักกล้องได้ถึง 5 กิโล (รับน้ำหนักกล้อง 5D+len ผมได้ ) และราคาไม่แพงจนเกินไป (ประมาณ 3,500-3,800 )
. เราถ่ายรูปกันจนพระอาทิตย์ตกลับของฟ้า ผมรีบเก็บขาตั้งกล้องแล้วเดินย้อนกลับผ่านสะพานไม้อูเบ็งที่ขณะนี้ฟ้ากำลังมืดลงเรื่อยๆ เสร็จสิ้นภารกิจประมาณ 1 ทุ่มครึ่งเรากลับไปหาลุงคนขับและให้ลุงไปส่งที่ท่ารถของบริษัท JJ Express bus ที่ผมจองล่วงหน้าผ่านเน็ตมา (ไม่ต้องจองก็ได้ หรือไม่ก็มาถึงพม่าแล้วค่อยจองก็ได้ แต่ผมกลัวพลาดรถเต็มเพราะเรามีเวลาน้อย) ผมเอาใบที่จองผ่าน myanmarbus.net ส่งให้พนักงานดู พนักงานก็โอเคและให้นั่งรอได้แถวนี้รถบัสจะออกในเวลา 22:00 และจะไปถึงประมาณตี 4
. เรามีเวลาอีกประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนรถออก ก็เลยออกไปเดินทางข้าวทานกันตรงนอกท่ารถบัสหน่ะแหละครับ ทานข้าวผัดไก่ รสชาตโอเคนะจริงๆบ้านใกล้เรือนเคียงรสชาตคล้ายๆกันแหละ เดินกลับมาไปเล็งในห้องน้ำรถบัสมีห้องอาบน้ำ(แบบกากๆ)พอดี ผมกับเพื่อนเราก็เลยผลัดกันไปอาบเพื่อให้อีกคนหนึ่งเฝ้าของ
. พอ 21:30 รถบัสก็มาของเราที่ติดป้ายไว้ถูกลำเลียงขึ้นบนรถบัส และเราก็ขึ้นตามไปบรรยากาศในรถบัสไฮโซมากครับ ยั่งกับ Business class ที่นั่งกว้างขวาเอนหลังได้ค่อนข้างเยอะเลย นอนสบายแน่ๆคืนนี้ แต่ช้าก่อนเพราะรถบัสดี แต่ถนนไม่ดีก็ไม่ช่วยอะไรโคลงเคลงไปสิครับ แต่สุดท้ายด้วยความเพลียหรือชินก็ไม่รู้ผมก็หลับไป
. ตื่นมาอีกทีตอนประมาณตี 3 เพราะเข้าใกล้เขตเมืองอินเลแล้ว มีคนขึ้นมาเก็บค่าเข้า 12,000 จั๊ตต่อคนบนรถ เราจ่ายไปด้วยอารมณ์เซ็งๆของคนเพิ่งตื่นนอนแบบงัวเงีย และนอนต่ออีกทีคือตี 4 เรามีถึงเมืองอินเลแล้ว
. จากอากาศร้อนๆของมัณฑะเลย์พอมาถึงอินเลตอนตี 4 อากาศหนาวจนสะท้าน พอถึงที่ๆเค้าจอดรถจะมีรถตุ๊กๆมาบอกว่าะจะไปส่งท่าเรือ ซึ่งเค้าให้ข้อมูลตรงๆว่าไม่ต้องไปกับเค้าก็ได้เดินก็ได้ 1 กิโล แต่ค่ารถก็ไม่ได้แพงอะไร 3000 จั๊ตสำหรับสองคน ก็ตกคนละ 45 บาทนั่งก็นั่งก็มันหนาวหนิหว่า
. รถมาส่งที่ท่าเรือตอนเวลา 04:20 มั้งเราคุยกับคนเรือตกลงกันได้ในราคาเหมาทั้งวัน 47 USD พาไปชมตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกและกลับมาส่งที่นี่ (ราคาปรกติไม่รวมพระอาทิตย์ขึ้นและโซนไกลๆ ประมาณ 30 USD) แต่ผมคิดว่าเรามาแล้ว เวลาน้อยและมี Blog ฝรั่งบอกว่าตอนพระอาทิตย์ขึ้นนี้แหละเด็ดสุดๆ
Day 2 : ล่องทะเลสาบอินเล
. ประมาณ 5:30 เรือก็เริ่มออกมุ่งสู่ทะเลสาบ ฟ้าตอนนี้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเริ่มมีสีส้ม เรือค่อยๆแล่นออกไปบนเรือหางยาวน่าจะนั่งได้ประมาณ 5 ที่มีผ้าห่มให้ด้วย เรียกว่ารู้งานเพราะตอนเช้ามันหนาวชะมัดใส่เสื้อหนาวบางๆเอาไม่อยู่ เรือออกไปสู่ทะเลไกลขึ้นเรื่อยๆ ทะเลสาบสุดสงบ มีชาวบ้านพายเรือหาปลาบ้างประปราย บรรยากาศสวยมากจริงๆ ผมได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆ แม้ภาพที่ได้จะไม่เหมือนกับภาพชาวประมงที่เคยฝันไว้ แต่มันคือสุดยอดความประทับใจ และแค่ช่วงเวลาสั้นๆนั้นผมก็รู้สึกคุ้มค่าแล้วกับค่าใช้จ่ายเพิ่มที่เรายอมจ่ายเพิ่มมาอีก 17 USD
. เรือแล่นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆจนผ่านโซนตรงกลางตอนนี้พระอาทิตย์ วิวข้างทางเริ่มเป็นเดิมๆเรือยังวิ่งต่อไปโซนลึกกว่าคนทั่วไปเค้าเที่ยวกัน จริงๆเราไม่ได้อยากมาอะไรหรอก แต่เข้าใจว่าเหมาเค้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน ก็ให้ค่าทัวร์เค้าเพิ่มมามั่ง ใจเค้าใจเราอะนะ ระหว่างทางเรือวิ่งอีกสัก 30 นาทีลมเย็นๆและความง่วงพวกเราทั้งสองก็ผอยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ใกล้ตลาดแล้วหล่ะ
ตลาดที่นี่ดูชาวบ้านมากๆเหมือนหลุดมาในหมู่บ้านชาวเขาอะ บรรยากาศดีนะ ซึ่งด้านบนก็จะมีวัดดังอยู่แหละแต่ก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเล้ยจริงๆ ตลาดดีกว่ามาก ฮ่าๆๆๆ
และเต้าหู้ทอดร้านนี้อร่อยมาก เป็นเต้าหู้นิ่มๆเค็มนิดๆ กินกับชาร้อนๆอร่อยชะมัด
จากนั้นก็ถึงเวลาเบื่อละครับ จริงๆผมว่าอินเลด้วยความที่พม่ามีวัฒนธรรมคล้ายๆไทยหน่ะครับ เรามีการทำบุหรี่เหมือนกัน เรามีเครื่องปั้นดินเผาเหมือนกัน เรามีการทำเครื่องใช้จากไผ่ ซึ่งให้ความรู้สึกว่า เห้ยนี่ตูมาทำไมวะบ้านตูก็มี 555 เอาหน่ะครับว่างๆชิวๆไป ก็ตามโปรแกรมเค้าไปเรื่อยๆ
พอตกสักเที่ยงๆแดดจะร้อนมากกกก ก็เริ่มเบื่อแล้วหล่ะไปนั่งเล่นที่ร้านอาหารเกือบ 2 ชั่วโมง และไปที่เจดีย์ดังสุดชื่อ Phaung daw oo pagoda (วัดผ่องด่ออู) ครับที่นี่มีที่แลกเงินด้วย เรทโอเค (ควรแลกเงินจั๊ตมาใช้เพราะถูกกว่าใช้ usd ) เป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวบ้านของชาวอินเล ภายในวันผ่องด่ออูนั้นจะประดิษฐานพระพุทธรูปไม้ศักดิ์สิทธิ์ 5 องค์ ที่คนไทยเราเรียกกันว่า “พระบัวเข็ม” ส่วนตำนาน ประวัติของพระบัวเข็มนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ว่ากันว่าเกิดในสมัยพระเจ้าอลองสิทธู กษัตริย์พุกาม นับหลายร้อยปีที่แล้ว ตัวองค์พระที่ประดิษฐานทั้ง 5 องค์ถูกปิดทองจนกลายเป็นก้อน
จากนั้นก็เข้าสู่โหมดล่องวัฒนธรรมต่อเรื่อยๆ เช่น ดูกะเหรี่ยงคอยาว ซึ่งบ้านเราก็มี ดูการทำเครื่องเงิน ซึ่งบ้านเราก็มีอีกแล้ว
. เข้าสู่อะไรน่าสนใจอีกครั้งกับ Floating garden หรือ สวนผักลอยน้ำ ตามประวัติเล่าว่า เมื่อราว ๒๐๐-๓๐๐ กว่าปีมาแล้ว มีพ่อค้าสี่คนมาจากเมืองทวายทางตอนใต้ของพม่า เบื่อหน่ายการทำสงครามยืดเยื้อระหว่างพม่ากับมอญ จึงได้พากันมาแสวงหาความสงบและปลอดภัยที่ทะเลสาบแห่งนี้ และแยกย้ายกันตั้งบ้านเรือนสี่แห่งในทะเลสาบ ต่อมาได้ขยายเป็นหมู่บ้านสี่แห่ง ชาวพม่าเรียกว่า “อินเลยัว” แปลว่า บึงสี่หมู่บ้าน ต่อมาได้ขยายเป็น ๓๒ หมู่บ้าน มีประชากรอาศัยอยู่ในทะเลสาบกว่า ๗๐,๐๐๐ คน หากรวมบนบกรอบๆ ทะเลสาบด้วยก็มากกว่าแสนคน
. เนื่องจากการตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในทะเลสาบ และรอบๆ ทะเลสาบไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะทำการเพาะปลูก ชาวอินทาจึงคิดค้นวิธีสร้างพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเอาชนะธรรมชาติ โดยการนำเอาวัชพืชลำต้นกลวงเช่น ต้นอ้อ ที่ขึ้นในน้ำมาตากแห้งแล้วมัดรวมกันเป็นแพ แล้วงมเอาดินโคลนที่อยู่ใต้น้ำขึ้นมาวางบนแพ ผูกเชือกยึดไว้ด้วยไม้ไผ่ไม่ให้ลอยไปมา และใช้พื้นที่ดินในแพเพาะปลูกพืชผัก ส่วนใหญ่เป็นผักที่ใช้บริโภคและส่งไปขาย โดยเฉพาะมะเขือเทศที่ได้ชื่อว่าเป้นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในพม่าเลยหล่ะ
. ดูความอัศจรรย์เสร็จแล้วไปต่อที่วัดแมวกระโดด หรือมีชื่อทางการว่า Nga phe chaung monastery วัดงาเพจอง แต่ทุกวันนี้ แมวไม่กระโดดแล้วนะ อย่างไรก็ตาม วัดนี้ยังมีความน่าสนใจ ให้ได้มาชมกัน เช่น งานแกะสลัก พระพุทธรูปไม้ และศิลปะต่างๆ ภายในวัด ที่สวยงามดีทีเดียว และที่สำคัญ ยังเป็นที่รอพระอาทิตย์ตกได้ดีมากๆ วัดนี้ให้ความรู้สึกคล้ายวัดไทย มีลานไม้ให้เราไปแอบนอนเกลืองกลิ้งได้ ถ้าไม่เขินอาย ซึ่งผมก็ทำเพราะว่าง่วงมากจนไม่ไหวแล้ววว
. นอนได้สักครึ่งชั่วโมงดูนาฬิกาก็ก่อนพระอาทิตย์ตกครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลากลับไปหาคนเรือ คนเรือวิ่งเรือย้อนกลับไปยังปากทะเลสาบที่เรามาเมื่อเช้า ระหว่างทางผมอยากได้พระอาทิตย์ตกกับคนเรือ ภาพสวยๆแบบที่เคยดู แต่ผมไม่เห็นทีท่าว่าจะเห็นเลย
. เรือวิ่งไปวิ่งไปจนเราเริ่มกระสับกระส่าย เฮ้ยคนเรือจะไปส่งท่าเรือเลยไหม อยากได้ภาพชาวประมงแบบชาวบ้านเค้าหน่ะ และแล้วคนเรือก็มาจอดจุดหนึ่งสำหรับให้เราถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก สักพักก็มีคนเรือพายเข้ามาเป็นฉากหน้า แสดงท่าทางต่างๆพวกเราทั้งสองคนถ่ายรูปและฟินไปกับภาพสวยๆที่เราได้ “เหมือนคนอื่นเค้า” หรือด้วยเทคนิคและฝีมือของเราอาจจะสวยกว่าคนอื่นๆด้วยซ้ำ แต่หลังจากถ่ายภาพเสร็จเราก็จ่ายเงินให้ไป โดยพวกเราคิดเหมือนกันว่าเราไม่ได้รู้สึก ฟิน และ อินใดๆเลย เพื่อนฝรั่งชาวลอนดอนที่ผมเจอที่อินเดียโพสในเฟสของเค้าเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า “Money shot” เพราะว่าทุกวันนี้มันแทบไม่มีวิถีชีวิตแบบนั้นแล้วหล่ะ ชาวประมงมารอแสดงให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ
. สรุปว่าอินเล สำหรับพวกเราตอนเช้ามันสวยมาก ธรรมชาติมาก และชอบมาก ผมแนะนำให้ทำแบบเรานะ ยอมจ่ายเพิ่มหน่อยเพื่อได้เห็นทั้งตอนเช้าและตอนเย็น ถ้ามาคนเยอะก็ยิ่งถูก เรือมันราคาเหมาครับ เรานั่งกันแค่สองคนจึงหารออกมาแพงไปหน่อย
. จบจากการถ่ายรูปเราก็กลับไปที่ท่าเรือ และ จ่ายเงินค่าตุ๊กๆอีก 3000 จั๊ตสำหรับสองคนเพื่อไปที่ท่ารถของ JJ Express เช่นเคย คืนนี้เรานั่ง night bus ต่อไปยังพุกามแล้วหล่ะ แต่ท่านี้ไม่มีห้องอาบน้ำแฮะ เราทานข้าวเสร็จก็แปรงฟันล้างหน้าและใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเท่าที่จะเช็ดได้ ก็สะอาดใช้ได้อยู่นะฮ่าๆๆ แหมเป็น backpacker ไม่ต้องสะอาดมากก็ได้
Day 3 : มหัศจรรย์พุกาม
. ขึ้นรถบัสก็หลับยาวเลยคราวนี้ถนนแย่เช่นเคยแต่ร่างกายบอกว่าไม่ไหวแล้วฉันควรได้พักผ่อน ตื่นมาอีกทีก็ถึงเมืองพุกามละ ลงจากรถมาคราวนี้เสียงล้งเล้งเลยครับมีรถแท็กซี่และรถม้า มาถามกันเต็มไปหมด เราตกลงมากับเจ้าหนึ่งบอกให้ไปส่งโรงแรมและไปส่งเราดูพระอาทิตย์ขึ้นในราคาคนละ 9 USD นั่งแท็กซี่มานิดหนึงก็จะเจอด่านเก็บเงินคนละ 25,000 จั๊ต (แพงชิบ)
. พุกามขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองทะเลพันเจดีย์ ดังนั้นมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกชื่อดังหลายที่ครับแต่ที่ดังสุด เพราะสูงสุดคือ Shwesandaw
พวกเราไปรอกันที่เจดีย์ Shwesandaw ตั้งแต่ตี 4 ( คนขับบอกไปเลยไม่ต้องแวะโรงแรม โอเคไปก็ไป ) มาถึงก็ขึ้นบรรไดขึ้นไปชั้นบนสุดครับ อ้อลืมบอกว่ารถแท็กซี่ที่นั่งมา มีผู้หญิงไต้หวันมาคนเดียว ร่วมรถมากับเราด้วย ก็เลยเป็น 3 คนมารอพระอาทิตย์ขึ้นเป็นกลุ่มแรก มาถึงแล้วผมก็เอาขาตั้งกล้อง Fotopro X4i-E ไปปักไว้แล้วมานั่งหลบหนาวครับ จากนั้นอีกสักครึ่งชั่วโมงคนมาก็เต็มเลย มาแถวๆที่พวกเรารออยู่ 555+ สงสัยเค้าคิดว่าเรารู้มั้งว่าตรงนี้สวย แต่เปล่าเลยครับเราแค่ดูเข็มทิศในมือถือว่าทิศตะวันออกอยู่ทางไหนแค่นั้นแหละ 5555+
รอไปเรื่อยๆเราไปเที่ยวตอน เดือน กพ. พระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6:15 มั้งครับ พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้นจากขอบฟ้า บอลลูนก็จะเริ่มลอยขึ้นมาชมในจังหว่ะใกล้กัน เป็นภาพที่รอคอยเลยครับ
หมายเหตุ : บอลลูนไม่ได้มีทุกวันขึ้นกับสภาพอากาศ และ จำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ
. เสร็จภารกิจถ่ายแสงเช้าก็กลับไปที่พัก เราพักกันที่ Guest house ชื่อ Shwe Na Di เกสเฮ้าส์นี้ได้คะแนนรีวิวดีมาก และ โชคดีเพื่อนไต้หวันเราพักที่เดียวกันและวันนี้ตกลงจะเหมารถแท็กซี่คันเมื่อเช้าทั้งวันครับ เหมาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกในราคา 70,000 จั๊ต ราคานี้มาตรฐานครับไ่ม่ถูกไม่แพงถ้าเทียบว่าเราต้องจ่ายเมื่อเช้าด้วย 3 คน 27$ ก็ถือว่าคุ้มอยู่นะ
. ถึงเกสเฮ้าส์ประมาณ 8 โมงยังเช็คอินไม่ได้แต่ฝากกระเป๋าไว้แล้วสามารถไปทานเข้าเช้าได้เลยครับ มีขนมปัง แยม ผลไม้ อาหารง่ายๆแต่อร่อยใช้ได้และอิ่มมากๆ highly recommed เลยเก้าส์เฮ้าท์นี้ >จอง<
จากนั้นก็เริ่มตะลุยเมืองพุกามกันครับ เริ่มต้นด้วยที่ดังสุดและใกล้เราก่อนเลย พระมหาเจดีย์ชเวสิกอง (1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า)
เจดีย์ชเวซิกอง แห่งเมืองพุกามหรือบากัน ประเทศพม่า เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้าอโรรธามหาราชพระองค์แรก ผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกามเมื่อ 900 ปีเศษมาแล้ว ภายหลังทรงยกทัพไปตีมอญที่อาณาจักรสุธรรมวดี ได้แล้วทรงกวาดต้อนชาวมอญ ตลอดจนช่างฝีมือ นักปราชญ์ และ ราชบัณฑิตมาที่เมืองพุกาม ทำให้พม่าได้รับอิทธิพงศิลปวัฒนธรรมจากมอญมาโดยไม่รู้ตัว ดังเช่น รูปร่างของเจดีย์ชเวซิกอง ก็มีรูปทรงระฆังคว่ำแบบมอญ ก่อนที่จะมีพุทธศิลป์ สกุลช่างพุกามเกิดขึ้น “ชเวซิกอง” แปลว่า “เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย”
จากนั้นก็เที่ยววัดกันรัวๆ 3-5 นาทีที่ขึ้นรถก็ถึงวัดใหม่อีกแล้ว สำหรับคนที่เหมาทั้งวันแบบเราไม่ต้องกังวลว่าคนขับจะพาไปไม่ครบครับ เรียกได้ว่าแค่ครึ่งวันก็เอียนวัดกันเลยจริง เพราะมันเยอะมากกกกกกก
สำหรับใครที่มีเวลาน้อยมีคนสรุปไว้ให้แล้วครับว่า 5 ที่ดังห้ามพลาดคือที่ไหนตามนี้ครับ
1.วิหารสัพพัญญู – สูงที่สุดในพุกาม คนพม่าจะเรียกว่า ตัทปิญญู นะค่ะ
2.วิหารอนันดา – มีพระยิ้มพระบึ้ง สวยที่สุดในพุกาม (ปิดสองทุ่ม)
3.วิหารธรรมะธัญจี – ใหญ่ที่สุดในพุกาม แบบภายในมีหลายชั้นอลังการงานสร้าง
4.เจดีย์บุพญา – เก่าที่สุดในพม่า อยู่ติดแม่น้ำอิระวดี
5.เจดีย์ชเวสิกอง – ที่สุดในการบูชาของพุกาม เพราะเป็น 1 ใน 5 ศาสนสถานที่ในชีวิตหนึ่งคนพม่าต้องมาสักการะ
สองภาพล่างนี้คือ วิหารอนันดา ครับผมค่อนข้างชอบนะสวยกว่าที่อื่นๆ
. เที่ยวจนถึงประมาณเที่ยงเราเริ่มเหนื่อย เพราะอากาศร้อนมากกกก ร้อนเหมือนกรุงเทพหน่ะครับ ก็เลยบอกคนขับว่าพอแล้ว ร้อนมากๆๆ ไปแวะทานข้าวดีกว่า คนขับให้เลือกระหว่างอาหารทั่วไปกับพม่า ผมเพื่อนและคนไต้หวันพร้อมใจกันตอบว่า อาหารพม่า มาพม่าทั้งทีก็ต้องกินอาหารพม่าบ้างใช่ไหมหล่ะครับ เวลาที่เสริฟจะมาแบบนี้เลยครับจานเล็กๆแต่มีหลายอย่างมาก ค่าข้าว+น้ำผลไม้คนละ 5000 จั๊ต ก็ 150 บาท แพงใช้ได้เมืองท่องเที่ยวก็งี้
. ช่วงบ่ายไปวัดอีกสัก 5-6 วัด มีวัดหนึ่งพออกจากวัดมีคนพม่าชวนไปลอง ทานาคา บอกว่าฟรีๆจริงๆเราก็รู้แหละว่าเค้าจะขายของ ฮ่าๆๆผมไม่ซื้อแต่ให้ไป 500 จั๊ตเค้าให้ทานาคาก้อนเล็กมาก้อนหนึ่ง แลกกับเราได้ลองทานาคาก็ดูแฟร์ดี ( ภาพนี้คนไต้หวันถ่ายให้ เธอไม่ยอมลองเอง 555 )
. และทัวร์วัดต่ออีก 4 วัดมั้ง พวกเราเบื่อวัดกันมากแล้วครับ มองหน้าคนไต้หวันก็คิดเหมือนกัน วันนี้น่าจะเข้าไปไม่ต่ำกว่า 15 วัด ตอนแรกจะบอกคนขับว่าพอแล้วให้ไปส่งโรงแรมเลย แต่คนขับบอกว่าเดียวพาไปโซน New bagan มีเจดีย์บุพญาอีกไม่ไกล เอ้าไปก็ไป คนขับขับช้ามากกกกกก (สงสัยไม่อยากย้อนไปย้อนมา เพราะว่าโรงแรมมันต้องย้อนกลับไปทางโน้นเลยเจดีย์ Shwesandaw ที่ดูพระอาทิตย์ตกไป )
. พอจบโปรแกรมยังมีเวลาว่างอีก ชั่วโมงครึ่งพี่คนขับต้องยอมเราหล่ะ ก็เลยพาไปส่งโรงแรม (รอบนี้ขับซิ่งเชียว) เช็คอินล้างหน้า งีบเล็กๆน้อยๆ ประมาณ 18:00 เราก็ออกไปรอพระอาทิตย์ตกกันครับที่ Shwesandaw ที่เดียวกับเมื่อเช้าแหละ คนไต้หวันบอกเพื่อนเค้ามาเที่ยวอยู่นี้ 3 วัน แนะนำว่าที่นี่ดีสุดแล้ว เอ้าาาเชื่อก็เชื่อ
. จากที่พักมาแค่สัก 15 นาทีก็ถึงครับเจดีย์ Shwesandaw สูงสุดในพุกามที่ให้ขึ้นได้ นักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกกกกกกก เยอะกว่าตอนเมื่อเช้าอีก เรามาถึงช้าไปชั้นบนเต็มหมดแล้วครับแต่มองจากชั้นล่างลงมาชั้นหนึ่งก็ยังโอเคนะ ดีซะอีกไม่เบียด ดูพระอาทิตย์ตกก็สวยดีครับแต่ก็ถือว่าจืดนะ ไม่ประทับใจเท่าตอนพระอาทิตย์ขึ้นครับ
เป็นอันจบวันที่ 3 รถไปส่งโรงแรมและเข้านอนแต่หัวค่ำพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
Day4 : ปั่นจักรยานในพุกาม
เมื่อคืนเราเช่าจักรยานแบบมีเกียร์ กับร้านเช่าหน้าที่พัก ถูกมากๆคันละ 1,500 จั๊ต ( ประมาณ 45 บาท ) วันนี้ก็ตื่นตี4ปั่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Bulethi ทางเก้สเฮ้าส์เราแนะนำมาว่าที่นี่สวย ไม่ไกล และ คนไม่เยอะ ก็เชื่อครับปั่นกันไป ระยะทางประมาณ 3.5 กิโล ก็ไม่เหนื่อยมากนักพอไหว แต่ให้คอมเม้นสั้นๆผมว่าดูที่ Shwesandaw สวยกว่าครับ
เราปั่นจักรยานกลับมาผ่านที่พักไปยังตลาด Mani Sithu Market ครับเป็นตลาดที่มีทั้งของขายนักท่องเทียวและโซนตลาดสด ในคราวเดียวกันถ้ามีเวลาแนะนำให้มาอย่างยิ่ง เพราะจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนพุกามครับ
ปั่นจักรยานเล่นๆชิวๆ ก็กลับที่พักคืนจักรยานและทานข้าวแถวๆนั้น รอรถบัสกลับไปมัณฑะเลย์ (รถบัสพม่าให้ที่พักจองให้ได้เลย รถมารับถึงที่พัก) นั่งกันยาวๆครับถึงมัณฑะเลย์อีกทีค่ำแล้ว พวกเราออกมาเดินตลาดกลางคืน ซึ่งให้อารมณ์ตลาดนัดบ้านเรา แต่ไม่คึกคักและบรรยากาศดูเปลี่ยวๆ ทานข้าวเสร็จแล้วเข้านอนพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว เราคุยกับโรงแรมแหละครับให้จัดรถให้หน่อย เราจะไปดูพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีกันพรุ่งนี้เช้าตอนตี 4 และไปส่งเราที่ Mandalay hill และกลับมาส่งที่ AirAsia ในราคา ทั้งหมด 20,000 จั๊ต
Day5 : ความศรัทธาที่มัณฑะเลย์
เช้านี้เราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปชมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี กันครับซึ่งถือว่าถ้ามามัณฑะเลย์แล้วไม่ได้มาถือว่าพลาดอยู่นะ ก่อนอื่นมาดูประวัติกันนิดหนึ่ง เสริมความอิน
. คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า “ผู้รู้อันประเสริฐ” (The Great Sage) ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน ก่อนสร้าง กษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า โดยในอดีต แม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป
. จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ ในปี พ.ศ. 2327 (ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และการปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2 ปี) โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา
. และด้วยความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร (บางตำนานก็เล่าว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดีพร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่จริง ๆ
รถมาถึงประมาณ 4:15 ไม่ต้องห่วงว่าจะเปลี่ยวเลยเพราะคนเยอะมากๆๆๆ ทุกคนมาด้วยแรงศรัทธาจริงๆครับ
โซนด้านหน้าน่าจะได้เฉพาะผู้ชายที่เข้าได้ ที่ที่นั่งตรงปากทางเข้าพอดีครับเราเลยได้แทรกตัวลงไปตรงนั้น ตอนแรกคิดว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว รอไปเรื่อยๆๆ ประมาณตี5มั้งครับก็จะมีคนมาเปิดประตูแล้วเริ่มทำพิธี
. ผมดีใจที่ได้เห็นพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ เสียดายที่เราดูไม่จบพิธีการเพราะตอนนี้ใกล้ 6 โมงที่พระอาทิตย์จะขึ้นแล้วผมเลยไปต่อที่ Mandalay hill ครับ มัณฑะเลย์ฮิลล์ ตั้งอยู่กลางเมืองมัณฑะเลย์ครับ มีความสูง 236 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีปูชนียสถานสำคัญๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ทั้งธรรมชาติ การชมทิวทัศน์อันสวยงามที่สุด และสามรถมองเห็นเมืองมัณฑะเลย์ ได้เกือบทั้งหมด เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างพากันแวะเวียนมาสัมผัส เที่ยวชมตลอดเวลา มาสัมผัสอากาศดีๆและความศรัทธาก่อนกลับไทยก็ถือว่าเป็นอะไรดีๆในเช้าวันนี้
. รถแท็กซี่กลับไปส่งเราที่หน้า AirAsia ตามที่ตกลงเพราะตอนแรกพวกเราจะนั่ง Shuttle bus ไปสนามบิน แต่ตอนนี้เค้าได้ยกเลิกบริการนี้ไปแล้วครับ แต่ผมต้องชื่นชมพนักงาน AirAsia สาขามัณฑะเลย์นะ เธอเข้ามาถามให้ความช่วยเหลือ พอรู้ว่าเราจะไปสนามบินก็บอกว่า เค้าเรียกให้ได้นะ เราเลยเรียกรถแท็กซี่ไปสนามบินให้ ในราคาคันละ 12,000 จั๊ต นั่งสบายๆแอร์เย็นไปถึงสนามบิน และขึ้น AirAsia กลับบ้านหอบความสุขก้อนใหญ่กับมาด้วย
. “พม่า” จากประเทศที่ผมไม่ได้คิดจะมา แต่เมื่อปีใหม่มาย่างกุ้งแล้วติดใจ ติดใจในความใจดีของคนพม่า ความดั่งเดิม ความสวยงาม จนทำให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ภายใน 2 เดือน 🙂
สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้โดยประมาณ 10,000 บาท (ควรพกไปเผื่อสัก 2 พัน เผื่อซื้อของฝาก และ จุกจิก )
- ค่าเครื่องบินไปกลับ 3,000 บาท
- ค่ากินอยู่รถและอื่นๆ 7,000 บาท
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!