ทริปนี้ชิวจะพาไปแนะนำเส้นทางใหม่ ให้ใจหลงรัก(ว้าววว) เรียกรวมๆว่า SHINETSU เส้นทางนี้จะอยู่ทางฝั่งซ้ายของโตเกียวไล่เที่ยวแถบภูเขาหิมะ ไล่เก็บธรรมชาติสวยๆ นอนแช่ออนเซ็นกลางหิมะฟินๆไป โดยใช้เวลาประมาณ 4 วันก็จะเก็บได้ครบบินลงสนามบินโตเกียวแล้วบินกลับไทยจากสนามบิน Nagoya ครับ ภาพรวมทริปก็ดูได้จากแผนที่นี้เลยนะครับ
เริ่มต้นทริปชิวออกเดินทางจากกรุงเทพ 5 ทุ่มนั่งเครื่องบินการบินไทย บินตรงยาว 6 ชั่วโมงสู่สนามบินฮาเนดะ ค่ำนี้เรานอนบนเครื่องบินเพื่อประหยัดเวลา หลับๆตื่นๆบิน 6 ชม.ก็มาถึงสนามบินฮาเนดะ ระหว่างทางก่อนถึงโตเกียวนิดหนึ่งกัปตันบอกว่าฝั่งซ้ายเป็นฟูจิ ได้เจอสัญลักษณ์มาทักทายดีใจจัง
จากสนามบินนั่งรถไฟแบบ Monorail ไปถึงสถานี Tokyo Station และนั่งรถไฟชิงคังเซ็นต่อไปยังสถานี Gala Yuzawa ใช้เวลาเพียง 75 นาทีก็จะถึงสกีรีสอร์ทในฝันเลยทันที! ได้สัมผัสหิมะง่ายๆ สะดวกมากเพราะเจ้าของสกีรีสอร์ทก็คือ JR นั่นเอง
Note : ถ้าไปหลายเมืองแนะนำให้คำนวนเทียบกับพาส JR EAST PASS (Nagano-Niigata Area ) หรือ JR TOKYO Wide Pass นะครับ
ก่อนอื่นถ้าไม่มีอุปกรณ์อะไรมาเลยก็ต้องเช่าก่อนครับ ที่นี่มีภาษาไทยด้วยนะ สำหรับคนที่เล่นสกีไม่เป็น อยากสัมผัสหิมะแบบง่ายๆก็แนะนำเล่นที่ลื่น (sled) เอา ถ้างบน้อยแนะนำชุดแบบประหยัด ให้เช่ารองเท้าบูท และ แผ่นลื่นแค่สองอย่างก็พอครับ ( ถ้ากางเกงไม่กันละอองน้ำก็ควรเช่าด้วย )
Note : แพ็กเกจ รองเท้า+ถุงมือ+กระดาน+ตั๋วไปกลับกระเช้าในราคา 2,000 เยน คุ้มสุด!
พอเช่าเสร็จก็นั่งกระเช้า Gondola ขึ้นไปด้านบน นั่งประมาณ 10 นาที อันนี้ highly recommended วิวดีมากกกกกครัช มาถึงแล้วยังไงก็แนะนำให้ขึ้น ระหว่างที่กระเช้าค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปก็จะมองวิวสวยขึ้นเรื่อยๆๆ
พอถึงด้านบนแล้วเราไปเดินเล่นชมหิมะกัน ณ จุดนั้นรู้สึกอยากเล่นสกีเป็นมากกกก ดูแต่ละคนเล่นโคตรเท่เลย แต่สกี/สโนว์บอร์ด ไม่ได้ฝึกง่ายขนาดนั้นไง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 1-2 วันถึงจะเริ่มพอเล่นได้ มีขนมโดเรม่อนแบบกินแล้วเล่นเป็นเลยขายไม๊แพงเท่าไหรก็ยอม …. ตื่นจากฝันแล้วไปไปเล่นกระดานลื่นแก้ขัดไปก่อน
ครั้งแรกครับ ลื่นสไลด์ยาวมาเลยจ้า เบรกไม่เป็น เหวออ ปั้งงง! ชนคนอื่นสะงั้น ณ จุดนั้นเปลี่ยนภาษาขอโทษวนไปสามภาษา โอ้ยเขิน … จริงๆวิธีเล่นง่ายมากครับ พอจะเบรกก็เอาขาเรานี่แหละลงพื้นนิดหน่อยมันจะชะลอ และหยุดเองแบบสมูท
จริงๆแล้วนั้นที่ Gala Yuzawa Resort นี่มีกิจกรรมหลายอย่างมากครับ เช่น ใส่รองเท้าสกีโบราณลองเดินบนหิมะ (1,500 Yen) คอร์สฝึกเล่นสกี แม้กระทั่งบ่อแช่ออนเซ็นก็ยังมี แนะนำให้มาอยู่เลยอย่างน้อย 1 วันเพื่อเก็บประสบการณ์ แต่วันนี้ผมมาชะโงกไปต่อจ้าเกือบเที่ยงแล้วไปหาอะไรกินในตัวเมือง Yuzawa (สถานี Echigo yuzawa )
ร้าน Yasuyoshi เป็นร้านเก่าแก่และดังมากในเมืองนี้ครับ สั่งเมนูฮิตของร้านมาคือเซ็ต “Feast of mountain” ราคา 1836 Yen เป็นเซ็ตข้าวกับสารพัดผักและเห็ด อร่อยเลย
จริงๆแล้วในเมือง Yuzawa นี่ก็สวยนะครับ เมืองเล็กๆเดินเล่นได้เพลินๆนะ
ครึ่งบ่ายไปต่อยัง Echigo-Tsumari Satoyama Museum of Contemporary Art, KINARE ครับที่นี่จะเป็นการผสมผสานสิ่งของโบราณ นำมาปรับทำใหม่ให้เป็นรูปลักษณ์สมัยใหม่ วัสดุส่วนใหญ่จะเป็นของเหลือใช้ในหมู่บ้าน คนชอบศิลปะรับรองต้องชอบ ( ค่าเข้า 800 Yen )
ชิวชอบห้องนี้สุดครับ สวยจริงๆ
ฮ่าาา เสพอาร์ตจนอิ่มแล้วนั่งรถยิงยาวไปที่พักครับวันนี้เราจะไปนอนรีสอร์ทดีๆกลางเขากันชื่อ belnatio ที่นี่ไกลหน่อยแต่จะมีบริการรถรับส่งจากสถานี echigo yuzawa ครับ
หน้าหนาวญี่ปุ่นที่ผมมาเดือน ธค. นี่พระอาทิตย์ตก 4โมงครึ่งครับ มาถึงที่พัก 5 โมงกว่ามืดพอดี อาบน้ำแช่ออนเซ็น แล้วไปทานบุฟเฟ่ขาปูกัน! ขาปูอร่อย สดมาก และกินได้แบบไม่อั้น แดรกสิครับรอไร! กินเยอะจนซากปูกองสูงเป็นภูเขา 555
เอาภาพออนเซ็นของโรงแรมนี้มาให้ดู นึกภาพแช่ออนเซ็นน้ำอุ่นๆท่ามกลางหิมะ บรรยากาศแบบฟินมากกกกกกก
website : http://www.belnatio.com/
ข้อมูลเพิ่มเติม :: เส้นทางนี้แนะนำรถเช่าครับ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ค่ารถเช่า เริ่มต้นวันละ 6,000 เยน – 10,000 เยน ราคานี้ไม่รวมค่าประกันภัย,ค่าน้ำมัน และค่าจอดรถของแต่ละแห่ง
ข้อมูลในส่วนของประกันมีสามแบบให้เลือกด้วยกันสามารถดูข้อมูลอย่างละเอียดได้ที่ http://rental.timescar.jp/support
Day2
วันนี้เราจะเข้าอุทยาน Jigokudani ไปดูลิงหน้าฟินเฟร่อแช่ออนเซ็นกันครับ วิธีการเดินทางอาจยากหน่อยสำหรับรถสาธารณะ อ่านเพิ่มได้ที่นี่
จากจุดที่รถจอดต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 30 นาที ถ้าไม่ได้ใส่รองเท้าที่เกาะหิมะได้แนะนำให้เช่าก่อนเดินขึ้นเขานะครับ จะได้ไม่ลื่น เดินสบายๆครับไม่เหนื่อย เดินชมป่า ชมหิมะ ไปแป๊ปเดียวถึง (ค่าเข้าชม 500 Yen)
พอเดินจนสุดทางจะเจอคนมุงเยอะๆหน่อยนั่นแปลว่าถึงแล้วล่ะ ลิงหน้าฟินสุด มันดูชิวววว แต่ละตัวก็หากิจกรรมทำกันไป บางตัวที่ไม่ได้ลงน้ำก็กอดกันก็มีนะให้ความอบอุ่นกัน เป็นวิธีเอาตัวรอดในช่วงฤดูหนาวที่นี่
ตกบ่ายเราไปต่อที่วัด Zenkoji ก่อนเข้าวัดแวะทาน โซบะร้าน Kosuge Tei ทานอาหารขึ้นชื่อแถบนี้กันก่อน เวลากินโซบะให้กินเสียงดังๆสูดอากาศเข้าไปด้วยจะอร่อยขึ้นครับ ( ค่าอาหาร 1,430 Yen )
จากร้านอาหารเดินต่อไปที่วัด Zenkoji วัดนี้เด็ดมาก สวยมากและมีกิมมิคเยอะมาก ทันใดนั้นผมหันไปเห็นซอฟท์ครีม! อ้ายของโปรด ต้องจัดแล้วแหละเดินไปสั่งมา 1 แท่ง 350Y พิเศษของร้านนี้เป็น รสมิโซะ! มิโซะเหมือนซุปมิโซะที่กินกันตามร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นแหละครับ … ตอนแรกก็กังวลแต่พอชิมแล้ว อร่อยสาสสสสสสสส มีรสเค็มนิดๆคล้ายๆกินซอฟท์ครีมรสชีสอะไรพวกนั้น
เอ้าเข้าวัดได้ วัดนี้เป็นวัดใหญ่ วัดดัง เก่าแก่และสวยงามมากๆ พิเศษสุดๆกับวัดนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยด้วยนะ ด้านในมีพระพุทธรูปที่มาจากประเทศไทย
ภาพพระในวัดสวดภาวนาให้ในหลวงของเราตอนท่านประชวรครับ
ด้านในจะมีอุโมงค์ลงไปใต้อาคาร ข้างในมืดสนิทให้เราคลำกำแพงด้านขวาไว้แล้วเดินไปเรื่อยๆครับตอนอยู่ในนั้นเราจะเข้าใจความรู้สึกของคนตาบอด ทุกย่างก้าวที่มองไม่เห็นชีวิตมันไม่ง่ายเลย คลำๆไปเดินประมาณ 5 นาทีก็จะเจอทางออกครับ ที่ทางออกจะเริ่มเห็นแสงส่องมาคล้ายเป็นสัญญาว่าเราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมว่าอเมซิ่งมากๆเลย ! ( แน่นอนว่ามืดและห้ามถ่ายรูป ต้องไปสัมผัสเองครับ)
ออกจากวัดไปเก็บสตรอว์เบอร์รีที่ฟาร์ม Anzu no sato Agri Park กัน ค่าเสียหาย 1,700 Y เราจะได้ถาดและนมข้นหวานมาคนละ 1 อัน เก็บกินเท่าไหรก็ได้! สตรอว์เบอร์รีลูกใหญ่ๆเด็ดสดๆจากต้นกินได้เลยไม่ต้องล้าง เค้าปลูกแบบออแกนิคอยู่แล้ว สาวกสตรอว์เบอร์รีแบบผมฟินมาก กินไปสัก 30 ลูกได้ 555
รีบกินสตรอว์เบอร์รีรีบไป เพราะจะไปแวะถ่ายรูป lightup ที่สวน Kokuei Alps Azumino Park’s Illumination event จากสวนมืดๆในค่ำคืนเค้าได้เนรมิตรออกมาเป็นสวนประดับไฟ สวยมากเลยครับ ( ค่าเข้า 410 Yen )
ค่ำนี้มีของเด็ดที่เนื้อ! เราจะไปกินเนื้อเกรดพรีเมี่ยมที่ร้านชื่อดัง “Daikanyama” ร้านนี้วิวดีมองเห็นวิวมุมสูงทั้งเมือง และอาหารอร่อยมากกก อร่อยทุกอย่าง อร่อยสาสสส อร่อยน้ำตาไหล ( ทั้งหมดเซ็ตนี้ 6,480 yen )
เมนู Premium shinsyu steak เสต๊กเกรด A5 นุ่มแบบแทบละลายในปากอร่อยยยยย
ปิดท้ายด้วยของหวาน
เสร็จแล้วเข้าพักที่เมือง มัตสึโมะโตะครับ จากโรงแรมผมเดินต่อไปถ่ายรูปที่ปราสาทตอนกลางคืน ช่วงหน้าหนาวจะมีการเปิดไฟถึง 4 ทุ่มมาถ่ายรูปกันได้ ถ่ายรูปเดินเล่นในเมืองแล้วเข้านอน วันนี้ไปทำโน้นนี่นั่นเยอะมาก ร่างกายเริ่มกรีดร้องละ
DAY3
ใกล้ๆกับเมือง มัตสึโมะโตะจะมีฟาร์มวาซาบิ ขนาดใหญ่มว้ากกกกกกกกกกระดับที่ว่า ฟาร์มนี้ป้อนวาซาบิให้กับ 10% ของคนญี่ปุ่นทั่วประเทศเลยครับ! ในการเข้าเยี่ยมชมฟาร์ม Daio Wasabi Park ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย แต่ถ้าอยากได้ความรู้เพิ่มอาจจะต้องติดต่อทางฟาร์มล่วงหน้าเพื่อจองตัว Wasabi master ( ลุงคนที่บรรยายให้ฟัง )
วันนี้ผมได้รู้ว่า วาซาบิที่เรากินนั้นทำมาจาก ลำต้น ไม่ใช่รากอย่างที่เคยรู้มาก่อน และวาซาบิแท้ๆก็ไม่เผ็ดจี้ดน้ำตาไหลแบบที่กินๆกันด้วยครับ รสจะนุ่มๆละมุนๆ แต่… ที่เรากินแล้วน้ำหูน้ำตาไหลนั้นจะไม่ใช่ wasabi (วาซาบิ) แต่เป็น horseradish ครับคล้ายๆกันแต่ปลูกง่ายกว่าและถูกกว่ามาก ดังนั้นพวกวาซาบิสำเร็จรูปที่เป็นคล้ายหลอดยาสีฟันมักจะเป็น horseradish แทบ 100%
เดินเที่ยวชมฟาร์ม ฟังบรรยายวิธีการปลูกวาซาบิจาก Wasabi master แบบเต็มๆก่อนกลับจากฟาร์มต้องลองซอฟท์ครีมรสวาซาบิ! มีกลิ่นวาซาบินิดๆแต่แทบไม่ได้รสวาซาบิเลย และไม่เผ็ดอย่างที่คิด เอาตรงๆไม่มีรสเผ็ดเลยได้แค่กลิ่นวาซาบิ
สูดอากาศสดชื่นให้ชุ่มปอดที่ฟาร์มแล้วกลับมาเที่ยวปราสาทมัตสึโมะโตะต่อ (ค่าเข้า 610 Yen) ปราสาทมัทสึโมโต้นั้นเป็นปราสาทที่สมบูรณ์มากๆ แต่ก่อนคาดว่าจะเอาไว้สำหรับประชุมเมื่อเกิดสงครามแต่โชคดีไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิด ปราสาทจึงยังคงสภาพดีมากๆจนถึงทุกวันนี้
จากปราสาทสามารถมองวิวได้ทั้งเมืองสวยมาก
ทริคสำหรับคนชอบถ่ายภาพ มุมที่จัดว่าเด็ดของที่นี่ต้องมุมข้างๆปราสาทเลยครับ เป็นมุมสะท้อนน้ำสวยมากจริงๆเลย จริงๆแล้วชิวมาถ่ายทั้งกลางคืน ทั้งเช้า และทั้งสาย บรรยากาศดีมากครับ
เดินจากปราสาทมาอีกนิดหนึ่งจะมีถนนช็อปปิ้งชื่อว่า Nawate Dori เป็นถนนที่ให้ feel แบบญี่ปุ้นญี่ปุ่น เหมาะกับการมาเดินเล่นสบายๆ เดินไปหาอะไรกินไป หรือจะมาถ่ายรูปทำ profile ก็จัดว่างานดีจริงๆ
แถวเมืองนี้ดังเรื่องเค้กครับ เค้กที่ทำจาก “ข้าวญี่ปุ่น” แนะนำให้ลองกินดูอร่อยมาก มันจะหนึบๆหน่อยแต่อร่อยจริงไรจริง
นั่งรถต่อไปที่วัดที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น Suwa Taisha Shimosha Akimiya หนึ่งในศาลเจ้าของชินโตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
วัดนี้สวยและมีเรื่องเล่า อยากเม้า! คือทุกๆจะมีเทศกาล Onbashira ที่ผู้ชายมากมายจะมาช่วยกันเอาซุงลงจากเขาเพื่อมาตั้งที่วัด งานนี้ถ้าดูวิดีโอแล้วพีคมากคือมันอันตรายโคตรๆ แต่ก็ดูทุกคนสนุกกับมันนะ
เย็นนี้เราจะไปฟินกันที่ Tateishi Park จุดชมวิว Lake suwa แบบเดียวกับฉากใน animation ดัง “Your name” บนจุดชมวิวนี้สามารถมองเห็นทะเลสาบได้แบบ 360 องศา บรรยากาศดีๆกับอากาศดีๆเย็นๆชิวๆ ดีมากกกกกกกกกก ฟินมากจริงๆครับ
เข้าพักที่ Kamisuwa Hot Springs Suhaku เป็นเรียวกังสไตล์โมเดิร์นหน่อย ทำเลดีมากอยู่ริม Suwa lake เลยครับ ตอนเช็คอินใหม่ๆห้องจะไม่มีเตียงนอนไม่ต้องตกใจ ไปทานข้าว แช่ออนเซ็นให้ฟินกายก่อนเลย เดียวกลับมาเค้าปูที่นอนให้นะ
อาหารค่ำนี้เป็นแบบ kaiseki เซ็ตที่เวลาเรามาพักเรียวกังแล้วควรจ่ายเงินเพิ่มอีกหน่อยเพื่อรับประสบการณ์แบบนี้ อาหารจะเป็นเล็กๆน้อยๆจำนวนมาก อร่อยและฟินเวอร์ กินลืมอ้วนไปเลย
อิ่มแล้วไปแช่ออนเซ็นมองทะเลสาบ suwa กันที่ดาดฟ้าครับ อากาศหนาวๆแช่น้ำร้อนๆ ฟินมว้ากก
Day4
เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและไปต่อที่ Tenryugawa ครับเราจะไปนั่งเรือล่องแม่น้ำ Tenryu กันค่าใช้จ่าย 2,900 Yen
ซื้อตั๋วแล้วลงเรือได้เลย ระหว่างทางก็ได้ชมบรรยากาศฟินๆสองข้างทาง จริงๆถือว่าผมแอบมาช้าไปหน่อยครับเพราะหน้าพีคคือช่วงใบไม้เปลี่ยนสี สองข้างทางจะเป็นสีแดง เหลือง ส้ม ตัดกับน้ำสีเขียวตลอดสองข้างทางคงโคตระฟินเลยแหละ
เวลาน้อยใช้สอยประหยัดนั่งรถต่อไปที่หมู่บ้าน Tsumago เป็น 1 ใน 50 หมู่บ้านที่ทางการญี่ปุ่นถือว่าสวยงามที่สุดในประเทศ ตั้งอยู่ใน Kiso Valley ในเขต Nagano มาถึงหมู่บ้านเที่ยงพอดีไปหาอะไรใส่ท้องกันหน่อยครับที่ร้าน Otokichi ร้านอาหารดังสุดของเมืองนี้แล้ว บรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆ อาหารอร่อยและถูกมากๆ ให้เยอะมาก กินแบบแทบท้องแตก 2700 Yen เท่านั้นเองครับ มื้อนี้ฟินสุดๆ
หนังท้องตึงแล้วตาไม่หย่อนเพราะมีหมู่บ้านสวยๆรอเราอยู่ไปครับ เดินเข้าไปชมหมู่บ้านกัน หมู่บ้าน Tsumago เป็น 1 ใน 50 หมู่บ้านที่ทางการญี่ปุ่นถือว่าสวยงามที่สุดในประเทศ โดยแต่ก่อนถือเป็นเมืองทีเป็นทางผ่านระหว่าง Kyoto และ Tokyo ดังนั้นแต่ก่อนเมืองนี้ก็จะฮอตฮิตมากๆใครๆก็ต้องมาแวะทั้งนั้น
บรรยากาศในเมืองสวยมากจริงๆบรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆเลยครับ
เดินวนไปเรื่อยๆ มีแว๊บเข้ามิวเซียมไปดูบ้านๆเก่าๆบ้างให้พอได้ความรู้เน้อะ ( 700 Yen )
เดินชิวไปเรื่อยและไม่ลืม … กินไอติมวนไปจ้า ไอติมชื่อดังเมืองนี้จัดมา ไอติมวอลนัท!
จากเมือง Tsumago นั่งรถยิงยาวเข้ามาที่เมือง Nagano มีเวลาเหลือนิดหนึ่งเราไปชมเมืองดาดฟ้าห้าง oasis 21 สามารถขึ้นมาชมวิวสวยๆได้ฟรีเลยครับ ตรงจุดนี้มองไปทางขวาจะเป็น nagoya tower ถ้ามองลงไปทางซ้ายจะเป็นเมือง nagoya ตอนกลางคืนเปิดไฟแล้วสวยมากเลย
ท้องร้องอีกแล้ววว ไปจัดอาหารชื่อดังของเมือง “ข้าวหน้าปลาไหล” ร้านนี้ดังมากครับชื่อ Atsuta houraiken อยู่ใกล้กับ Magowakamiko Shrine
วิธีการทานข้าวหน้าปลาไหลระดับตำนานก็น่าสนใจครับ เค้าจะให้เราแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกให้กินเปล่าๆไม่ใส่อะไรเลย ส่วนสองใส่พวกเครื่องปรุงเช่นสาหร่าย ส่วนสามใส่น้ำซุปลงไปนิดหนึ่งพอขลุกขลิก และส่วนที่สี่ให้เราทานแบบที่เราชอบที่สุดอีกครั้ง ^^
ข้าวหน้าปลาไหลอร่อยแบบน้ำตาจิไหล อิ่มแล้วไปสนามบินกันจ้า เป็นอันจบทริป 4 วันในเส้นทาง Nagano นะครับบินลงโตเกียวและกลับทาง nagoya เส้นทางนี้สนุกและไม่ซ้ำซากจำเจแน่นอนครับ ธรรมชาติอลังการงานสร้างสุดๆ มาหน้าหนาวก็ฟินไปอีกแบบนะครับ 🙂
ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนทริปนี้อย่างเป็นทางการ :: องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่นครับ 🙂
Website : www.jnto.or.th
Instragram :@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook Page : Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube : ChillJourney
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!