. หลายคนอาจจะไปต่อเครื่องที่ Norway เพื่อบินต่อไปยังไอซ์แลนด์หรือประเทศอื่นๆและมีเวลา stop over 1 วันหรือแม้กระทั่งมีเวลาเที่ยว Oslo เพียงแค่วันเดียวก่อนจะไปเที่ยวเมืองอื่นเช่น Bergen หรือ Stavanger ต่อ
. Oslo เป็นเมืองหลวงก็จริงแต่เป็นเมืองหลวงที่ไม่ใหญ่และไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมากนักต่อสายตาชาวโลก ทำให้อาจจะนึกกันไม่ออกว่า “ถ้ามีเวลา1วันใน Oslo จะไปไหนดี?” โดยส่วนของทริปใน 1 วันนี้ผมได้ใช้กล้องตัวใหม่ Sony A6300 ประกบคู่กับเลนส์คิตติดกล้อง Sony 16-50 ธรรมดาออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนกัน ภาพทั้งหมดที่เห็นนี้ถ่ายจากกล้อง Sony A6300 ทั้งหมด ( สำหรับรีวิวกล้องอย่างละเอียดดูได้ที่ )
จากสนามบิน
. จากสนามบิน Oslo จะมีวิธีเข้าเมืองผ่านทางรถไฟได้ 2 อย่างคือ รถไฟ Express กับรถไฟธรรมดา ไม่ต้องกลัวสับสนเพราะตู้กดแยกชัดเจนครับ ผมไม่ทราบว่า express เร็วกว่าเท่าไหรแต่รถไฟธรรมดาวิ่งประมาณครึ่งชม.ครับ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าอะไร เพราะผมลองกดเทียบราคาผ่านเว็บและราคาหน้าตู้อยู่ที่ 92 NOK เท่ากัน ไปซื้อที่ตู้ได้เลย ( ข้อมูล ณ เดือนเมษา 2559 )
พอซื้อตั๋วเสร็จจะมีเวลาและ platform บอกอยู่ครับจะนั่งรอด้านในสนามบินก็ได้ก่อนก็ได้ สัก 10 นาทีก่อนออกค่อยลงมาที่ platform (แต่มาเดินดูก่อนก็ดี) เพราะค่อนข้างหนาว ตอนขึ้นก็ไม่มีระบบตรวจอะไรเลยครับ ไม่ต้องแสดงอะไรทั้งนั้น ที่นี่ใช้ระบบสุ่มตรวจ แล้วปรับแพงๆเอาคนก็ไม่กล้าโกงครับ
. นั่งมองวิวข้างทางเพลินๆ น่าจะสักประมาณ 30 นาทีก็จะถึง Oslo central แล้วครับ ทีนี้ก่อนเริ่มเที่ยวใน 1 วันให้เราไปซื้อบัตร 24 ชั่วโมงก่อนเพราะคุ้มมากๆๆๆ ซื้อได้ที่ตู้ขายตั๋ว หรือ ร้านสะดวกซื้อในสถานีหน่ะครับ บัตรราคา 90 NOK ที่บอกว่าคุ้มเพราะดูนะครับ ถ้าเราทะลึ่งไปซื้อกับคนขับบนรถแค่ครั้งเดียวก็ 50 NOK แล้วครับ บัตรนี้คุ้มมากจริงๆ
บรรยากาศภายใน Oslo central ( Oslo S ) คล้ายหัวลำโพงเราอะครับเป็นศูนย์กลางจะไปเมืองไหนก็ต้องมาต่อที่นี่ซะมาก อธิบายภาพรวมๆการเดินทางใน Oslo ที่เราใช้บ่อยๆมี 3 อย่างครับ
- รถบัส
- รถราง
- รถไฟใต้ดิน
ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะได้ใช้รถไฟใต้ดินเยอะแต่ป่าวเลยครับ รถบัส และ รถรางกลับครอบคลุมพื้นที่การท่องเที่ยวได้ดีกว่า (ใช้ google map ดูข้อมูลได้เลยครับว่าเราต้องนั่งรถบัส/รถรางสายไหน)
สรุปที่เที่ยวใน Oslo ที่ควรไปดังนี้ครับ
- Oslo station ( central )
- Oslo Cathedral
- Karl Johans gate Road
- Stortinget
- Nationaltheatret
- The Royal Palace
- Rådhuset
- Aker Brygge
- Bygdøy
- The Vigeland Park
- Holmenkollbakken ( optional )
- Opera house
. ผมเริ่มต้นด้วยการนั่งรถบัสสาย 30 หน้าสถานี Oslo central เพื่อไปยัง Rådhuset อาคารอิฐโดดเด่นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมือง แต่จะเปิดให้เข้าในเดือน พ.ค.-ส.ค. เท่านั้น สำหรับผมดูภาพนอกก็ไม่ได้ดูน่าสนใจอะไรมาก แต่ด้านตรงข้ามจะเป็นท่าเรือ Rådhusplassen ผมตั้งใจจะนั่งเรือ Ferry ข้ามไปยังเกาะที่ชื่อว่า Bygdøy ซึ่งตรงนั้นจะเต็มไปด้วยมิวเซียมหลายอันครับ ผมอ่านมาว่าสามารถใช้พาสที่เราซื้อมา 90 NOK นั่งเรือได้ ก็กะว่าอยากนั่งเรือเอาบรรยากาศไม่ได้ตั้งใจจะไปเข้ามิวเซียมอะไรอยู่แล้ว
. แต่พอเดินไปจนถึงท่าเรือแล้วถึงกับเงิบครับ น่าจะเปลี่ยนกฎไปแล้ว เพราะมีป้ายเขียนไว้เลยว่า บัตร 24 hr. ไม่รวมค่าเรือไปฝั่งโน้น ต้องซื้อเพิ่มเท่านั้น แต่แถวท่าเรือก็บรรยากาศดีแล้ว และตรงท่าเรือนี้มีทีเด็ดจะมีเรือประมงเอาของสดมาขายครับ อ่านจากเว็บต่างประเทศก็แนะนำให้ลองทานกุ้งต้มน้ำทะเลสดๆดู แต่ผมไม่ได้ซื้อครับเพราะกะว่าจะไปทานหนักมื้อเย็นอยู่แล้ว
. ใกล้ๆท่าเรือจะเป็นย่านที่สุดแพงชื่อว่า Aker Brygge ครับเป็นย่านไฮโซริมน้ำ ใกล้ๆนี่เองก็เลยไปเดินเล่นซะหน่อย ตรงนี้เดินเพลินมากๆและเป็นโซนที่ผมชอบสุดใน Oslo เลยครับ บรรยากาศดีมากๆ
ตรงปลายสุดของถนนจะเป็น Astrup Fearnley Museum of Modern Art ครับสร้างได้สวยดีและมีมุมให้นั่งพักผ่อนด้วย
. ผมมาตอนเช้าที่นี่ยังไม่คึกคักเท่าไหร ผมเดินลัดเลาะห้างแถวนี้เล็กน้อย แต่เป็นย่านไฮโซแน่นอนว่าของจะแพงมากๆเราก็ ช็อปปิ้งทางสายตาไปครับ เปิด Google map ลองจิ้มไปที่ Bygdøy ตรงที่ตั้งใจจะนั่งเรือไปปรากฎว่านั่งบัสไปได้สาย 30 เจ้าเดิมแค่ 15 นาทีเท่านั้น ไหนๆก็มีพาสแล้วก็นั่งไปสิ ผมก็เดินย้อนกลับไปที่ป้ายเดิมตรงหลัง Rådhuset หน่ะแหละ นั่งชิวๆยังไม่ทันไรก็มาถึงที่ดังที่ทัวร์ไทยทุกอันต้องลงคือ Viking Ship Museum ที่นี่เสียค่าเข้าถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 100 NOK ( ประมาณ 420 บาท ) ซึ่งผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปดูอยู่แล้วอะนะครับเพราะอ่านมาว่าไม่มีอะไร
ผมไม่ได้ตั้งใจไปแอบดูอะไร ผมแค่เดินไปดูราคาค่าเข้าเฉยๆแต่ก็ประตูเป็นกระจกทำให้ผมมองเห็นว่าด้านในมีอะไร ก็..เป็นภาพโมเดลเรือไวกิ้งเหมือนภาพที่ดูใน wikipedia เลยครับ
credit : wikipedia
. ออกมาก็ยืนรอสาย 30 เจ้าเดิมจะวิ่งต่อไปจนสุดที่ The Fram Museum สถานที่ซึ่งแสดงประวัติความเป็นมาของเรือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้สำรวจสถานที่ต่างๆทั่วโลกทั้งหมด 3 ลำรวมถึงเรือของนักสำรวจชื่อดัง “โรนัลด์ อามุนด์เซน” ผู้ที่สามารถ เดินทางพิชิตขั้วโลกใต้ และได้ปักธงชาตินอร์เวย์ ณ สถานที่ดังกล่าวได้เป็นคนแรก ที่นี่ได้ปักป้ายว่าเป็น ” THE BEST MUSEUM IN NORWAY” ดีสุดในนอร์เวย์ว่างั้น เป็นที่ๆทัวร์ไทยลงเช่นกันครับใครสนใจก็เข้าได้ ส่วนผมผู้ไม่อินกับ museum และไม่อยากเสียค่าเข้าก็เพียงแค่เดินวนรอบๆ ซึ่งตรงนี้จะเป็นริมน้ำครับ วิวสวยมากๆมาเดินเล่นนั่งเล่นพักผ่อนสบายๆเลย
. เสร็จแล้วก็ไปต่อที่เป้าหมายถัดไป The Vigeland Park “อุทยานฟรอกเนอร์” นั่งบัสสาย 30 มาแล้วต่อบัสสาย 20 (ดูตาม google mapเลย) สวนนี้เข้าฟรีครับ เป็นผลงานของปฏิมากรเอกชาวนอร์เวย์ ชื่อกุสตาฟ วิกเกแลนด์ ที่ใช้เวลาถึง 40 ปีในการแกะสลักหินแกรนิต และทองแดง ที่แสดงให้เห็นวัฏจักรในหนึ่งชั่วชีวิตของมนุษย์
. สำหรับผมที่เรียกว่าไปผิดฤดูไปหน่อยถ้า summer ต้นไม้เขียวๆน่าจะสวยกว่านี้ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจรูปปั้นทั้งหลายของปฏิมากรท่านนี้สักเท่าไหร รูปปั้นค่อนข้างแปลกตาและดู abstract มาก มากจนผมเข้าไม่ถึง แต่รวมๆแล้วสวนนี้ก็เป็น The must ที่ต้องมาครับสวยอยู่
พอเดินจนสุดแล้วจะเจอเสาหิน รูปแกะสลักชื่อ โมโนลิท สูงถึง 17 เมตรอยู่ตรงกลาง ที่ผมดูก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสื่ออะไร 555
. ในส่วนของกล้อง Sony A6300 นั้นจอไม่สามารถพับขึ้น 180 องศาเพื่อหมุนจอมา Selfie ได้ครับ แต่ไม่ใช่ว่า Selfie ไม่ได้นะ ก็แค่ยื่นออกไปเล็งให้ดีเหมือนเราใช้กล้องหลังในมือถือ Selfie นั้นแหละครับ และด้วยโหมดของ Sony เลือกเป็น portrait จะช่วยปรับให้ผิวเนียนขึ้นด้วย ( แต่ไม่ได้ช่วยลดความบานเลย 555 )
. เอาหล่ะในสวนน่าจะใช้เวลาเดินเที่ยวประมาณ 1 ชั่วโมงครับผมตั้งใจจะไปต่อที่ Holmenkollen ลานแข่งสกี ขนาดใหญ่ชื่อดังของ Oslo ที่นั้นนั่งรถไฟฟ้าไปถึง ผมก็เลยต้องนั่งรถรางต่อเพื่อไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้สุด Majorstuen ซึ่งตรงนี้เป็นย่านที่ผมอ่านมาว่า ย่าน Majorstuen เป็นอีกย่านที่น่ามาเดิน จะเป็นย่านช็อปปิ้งย่านแฟชั่นที่แบบไม่ใช่ Hi-end มากเหมือนถนน Karl Johans gate ไหนๆก็มาถึงแล้วผมก็เลยเดินเล่นย่านนี้สักหน่อย โดยใช้สามารถของของกล้อง Sony A6300 ที่โฟกัสเร็วสุดๆให้เป็นประโยชน์ ยกกล้องแล้วถ่ายเลยเป็นแนว steet เก็บความเป็น Oslo ไว้ในภาพให้ได้มากที่สุด
. เดินเล่นถ่ายรูปย่าน Majorstuen เสร็จแล้วผมก็ไปซื้อของทานเล่นกินกันตายที่ซุปเปอร์เล็กน้อย ก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ ตรงนี้เป็นชุมสายซึ่งมีรถไฟฟ้าผ่านถึง 5 สายผมก็มึนๆเดินขึ้นไปสักสายโดยไม่ได้ดู ปรากฎว่า “ผิดสายจ้า” กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านออกนอกเมืองไปแล้ว กว่าจะย้อนกลับมาและวนไปที่ลานสกีใหม่อีก 30 นาที (ไปกลับก็ 1 ชม.) บวกกับการช่างใจกับค่าเข้า 100 NOK ผมเลยตัดสินใจไม่ไปแล้วและนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปลงสถานี Nationaltheatret
พอลงสถานี Nationaltheatret แล้วเพียงแค่กลับหลังหันก็จะเจอกับ The Royal Palace พระรางวังประจำเมือง Oslo ซึ่งมีบริการทัวร์ภายในเช่นกันแต่ผมไม่ได้เข้าเพราะว่า อ่านมาว่าไม่ได้สวยงามอะไรเหมือนวังที่อื่นๆครับ ผมเพียงไปเดินรอบๆวังเท่านั้น (วังไม่ได้ใหญ่อะไรและถ้าไม่ได้เข้าข้างในจะไม่ต้องเสียค่าเข้า )
. พอเดินครบรอบแล้วก็เดินย้อนกลับมาที่ National theatret ณ จุดนี้จะมีเสียงเพลงแทบตลอดเวลาเพราะมีพวกนักดนตรีเปิดหมวกมาแสดงครับ ก็ทำให้บรรยากาศดี้ดีไปอีก
จาก National theatret เดินย้อนกลับไปที่ Oslo central จะเป็นการเดินผ่านถนน Karl Johans gate ถนนช็อปปิ้งชื่อดังที่สุดของ Oslo และระหว่างทางก็จะผ่านที่สำคัญๆอีกหลายที่ครับ ถนนเดียวเที่ยวกันคุ้มเลย
อาคารสวยๆดูคล้ายโรมันนี่คือมหาวิทยาลัย Universitetets aula ครับสวยเชียว
เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอ Stortinget หรือรัฐสภา
เดินมาเรื่อยๆลองมองกลับไปก็จะเห็นพระราชวังอยู่สุดถนนครับ ภาพนี้เป็นภาพที่ผมชอบที่สุดในการเดินเล่น Oslo โดยเทคนิคการถ่ายภาพนี้ให้ไปยืนหลังดอกไม้ซูมไปที่ระยะ 50 เท่าที่เลนส์คุณมี สำหรับกล้อง Sony A6300 สามารถเลือกโฟกัสได้ผมจึงเลือกจุดคนตรงกลางภาพ ซึ่งจะทำให้ภาพดูมีมิติน่าสนใจมากขึ้นครับ
เอาหล่ะเวลาล่วงมาไกล ผมเริ่มหิวซะแล้วลองหาอะไรไม่แพงและน่าสนใจทานซะหน่อย ผมชอบกินเบอร์เกอร์แล้วผมไปสะดุดตาในเว็บการท่องเที่ยวว่ามีร้านไม่แพงชื่อว่า “Munchies” พิกัดไม่รู้อธิบายยังไง จิ้มไป google map แล้วกัน ร้านนี้ค่อนข้างแพงกว่า Burger king พอสมควรเบอร์เกอร์จะเริ่มที่ประมาณ 100 NOK ต่อชิ้นครับ ผมเลือกสั่งเมนู signature ที่ชื่อเดียวกับชื่อร้าน Munchies เป็นเบอร์เกอร์เนื้อ ใส่หอมใหญ่แช่คาราเมล พร้อมกับบลูชีส และ เบคอน
เวลาจะถ่ายอาหารให้ปรับโหมดของกล้อง A6300 ไปที่ Macro ครับก็จะทำให้โฟกัสอาหารใกล้ๆได้และจะถ่ายได้สวยแบบไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรมาก รายละเอียดเก็บได้อย่างชัดเจน … เห้อตอนเขียนรีวิวไปก็หิวไป
สรุปเบอร์เกอร์ก็ถือว่าอร่อยดี แต่ไม่ได้อร่อยแบบโอ้ยโคตรอร่อย อะไรขนาดนั้นก็ถือว่าโอเค ถ้าชอบเบอร์เกอร์ก็น่าไปลองอยู่ เดินมาต่ออีกนิดผมเจอร้าน Deli de Luca ที่โน้นเป็นร้านสะดวกซื้ออีกร้านหนึ่งผมเดินเล่นท่าไหนไม่รู้ได้ไอศกรีมมา 3 scoop ( 3 scoop คิดแล้วถูกสุด 54 NOK ) ไม่รู้ทำไมเวลามาเที่ยวหนาวๆกลับชอบกินไอติม กินในที่ๆละลายช้าๆยิ่งอร่อย ฮ่าๆ
และตัวกล้อง Sony A6300 ก็สามารถโอนไฟล์เข้ามือได้ทันทีผ่าน application Remote app: PlayMemories อัพภาพสดๆเข้าเฟสบุ๊คให้เพื่อนเห็นได้ทันที
เดินต่ออีกนิดหนึ่งจะมีถึงร้านดัง Fiskeriet fiskebutikk ร้านที่ทำร้านคล้ายๆ ตลาดปลา ผมมาสำรวจก่อนเพราะเย็นนี้ตั้งใจจะมาทานกันครับ
เดินต่ออีกนิดหน่อยก็มาถึงโซน Oslo central แล้วด้านข้างๆมีเสือ เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คก็ถ่ายรูปเล่นๆกันไป แล้วเดินตรงไปจะเจอโบถส์ตั้งเด่นอยู่ชื่อ Oslo Cathedral
Oslo Cathedral โบถส์คู่เมืองของ Oslo ภายในสามารถเข้าไปชมความงดงามได้ครับ แต่ระวังรบกวนคนอื่น งดใช้เสียง ส่วนตัวกล้องก็ปิดแฟลชและปิดเสียงชัตเตอร์ด้วยนะ
ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วอีกจุดหนึ่งที่ยังไม่ได้ไปก็คือ Opera house ครับอยู่ทางซ้ายของสถานีใกล้ๆเองเดียวกะไว้จะไปพรุ่งนี้ (แต่ไม่ได้ไปเพราะตื่นสาย T-T )
จาก Oslo station เราเดินย้อนกลับไปที่ร้านที่คล้ายตลาดปลาหน่ะครับจำได้ไหม แต่เจอคนไทยพอดีก็เลยตรงๆตามประสาเพื่อนร่วมชาติ
“ขอโทษนะครับ อร่อยไหมครับ”
“อ๋อ… fish and ship อร่อยแต่อย่างอื่นเฉยๆ”
พวกเราได้ยินดังนั้นก็เลยไหนๆจะเสียเงินแพงแล้ว มื้อค่ำสุดท้ายก่อนกลับแล้วก็เลยย้ายร้านไปร้านที่ได้คะแนนรีวิวดีๆและลงตัวที่ร้าน Louise Restaurant & Bar ครับร้านนี้อยู่ตรงย่านแพงๆ Aker Brygge ที่ผมพาไปตอนเช้านั้นแหละ โดยรวมให้คะแนนรสชาติ 9.5/10 อร่อยทุกจานครับ บริการ 7/10 พอเพราะว่าเย็นวันศุกร์ด้วยมั้งคนเยอะ ไป4คนราคาหารต่อคนมื้อนี้ประมาณ 1100 บาทต่อคนครับก็ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับร้านอาหารปรกติที่เมืองนี้ครับ
เมืองหลวงของประเทศ Norway ใช้เวลาประมาณ 1 วันเต็มๆก็จะเก็บได้ครบถ้วนครับ แม้จะเป็นเมืองที่ไม่ได้ใหญ่และมีจุดเด่นหรือแลนด์มาร์คสำคัญระดับโลก แต่ก็เป็นเมืองที่ไม่ควรพลาดในการมาเยี่ยมชม ไว้ติดตามต่อตอนหน้าผมจะพาไปเที่ยวส่วนอื่นของ norway ต่อครับ
Blog แนะนำเคล็ดลับการจองที่พัก อ่านเถอะจะได้ไม่พลาดอีก!
Instragram:@ChillJourneyTHติดตามการเดินทางของชิวตามไปที่ ::
Facebook :Chill Journey :: เที่ยวอย่างชิว
Youtube :ChillJourney