ชิล… ไปไต้หวันกันวะป่าว เพื่อนคนหนึ่งเมื่อไปนครวัดด้วยกันได้เคยกล่าวชวน
ผมถามกลับอย่างไม่คิด .. “ไต้หวันเนี้ยนะ ไปทำไมวะ ไม่เคยอยู่ในหัวเลย มันมีอะไรดีเหรอวะ วีซ่าก็ต้องทำ?”
.
.
เวลาผ่านไป 2 เดือน
.
.
พักเที่ยงของวันทำงานวันหนึ่ง ผมเปิดเฟซบุ๊คเจอข่าวสายการบินพี่เสือ เปิดตัวทางบินใหม่บินตรงจากดอนเมืองไปไต้หวัน ผมลองกดเช็คราคาช่วงปีใหม่ดู หืม… 6000 บาท เฮ้ยราคาดี ปีใหม่ก็ยังไม่มีทริปไหนเลยโทรหาเพื่อนคู่หูชาวเที่ยวคนที่เคยชวนผมนั่นหล่ะ
ผม : “ไข่ ไปไต้หวันปีใหม่ไปป่าววะ ตั๋ว 6 พัน ชวนแม่กูชวนแม่กู ไปกัน 4 คน”
ไข่ : “เออ…ไป”เพื่อนตอบรับการชวนไปเที่ยวภายใน 10 วินาทีห๊ะ! นี่ไม่คิดก่อนบ้างเหรอวะ
ผม : “เดียวกูโทรไปหาแม่กูก่อนแป๊ป”
ตรู๊ด ตรู๊ด ผมโทรหาแม่ความกังวลใจ แม่บ่นหลายครั้ง ปีนี้แกเที่ยวเยอะไปแล้ว ถ้านับจากต้นปีก็ … 3 ทริป 3 ประเทศ
ผม : “แม่ มีตั๋วโปรไปไต้หวันช่วงปีใหม่ สนใจไหม 6 พันเอง รวมๆทริปนี้ก็ไม่น่าเกินสองหมื่นหรอก น่าเที่ยวนะ”
ผมอธิบายโฆษณาชวนเชื่อสักพัก
แม่ : ” เออฉันไปก็ได้ แต่เดียวชวนพี่ ม. และน้อง ม. (หลาน3ขวบ) ไปด้วยนะ”
ก่อนจะไปอ่านบันทึกการเดินทาง เอาข้อมูลไปสักหน่อยเผื่อใครจะตามรอยนะครับ
งบประมาณ
ผมได้ค่าตั๋ว lowcost ได้ไปกลับในราคา 6000 รวมกับค่าโหลดกระเป๋า 1000 บาท รวมเบ็ดเสร็จทริปนี้ใช้ไปประมาณ 22,000 ครับ ( ไม่รวมช็อปและค่าวีซ่า 1,500 บางคนไม่เสียเลยขอไม่รวม )
ราคารวมกินแหลกชิมแทบทุกร้านแล้ว คือจริงๆอาจจะถูกกว่านี้ได้เพราะผมไปช่วงปีใหม่โรงแรมก็โคตรแพง รถเต็ม เลยเหมาแท็กซี่กันบ่อยมากกก และไปกับครอบครัวจึงนอนโรงแรมกันตลอด ถ้าไปแบบประหยัดๆนอนโฮสเทลคิดว่าสัก 19k พอไหวครับ
ถ้างบน้อยกว่านั้นให้ตัด sun moon lake และ Alishan ออกไปพักแต่ในไทเปจะประหยัดไปเยอะเลยครับเพราะค่ารถไฟความเร็วสูง และ ค่ารถขึ้นลงเขา รวมทั้งที่พักในสองที่นี้แพงกว่าในไทเปเยอะเลย แต่ถ้าใครไม่เคยนั่งชินคังเซ็นที่ญี่ปุ่นก็ลองนั่งที่ไต้หวันดูก็ดีนะ เพราะถูกกว่าสามเท่าแหนะ
วีซ่า
ไต้หวันเป็นประเทศที่คนไทยต้องขอวีซ่าครับ แต่เชื่อเถอะครับว่าคุณจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาและเสียดายเงินค่าทำวีซ่าเลยเพราะประเทศนี้ “ดีงาม” มากจริงๆ วิธีทำวีซ่าก็ไม่อยากครับผมเคยเขียนไว้ให้อย่างละเอียดแล้วเชิญอ่านได้ที่https://www.chilljourney.com/2014/12/06/taiwanvisadec14/
แผนเที่ยว
ผมอาจจะไม่ได้ลงดีเทลการเดินทางอย่างละเอียด แต่คุณสามารถ download Trip plan ที่ผมใช้ได้เลยครับเอาใช้ได้เลยที่https://www.chilljourney.com/wp-content/uploads/2015/01/Taiwan_2014-Revise.xlsx
ผมไปทั้งหมด 9 วัน ถ้านับเที่ยวจริงๆก็ 8 วัน สามารถสรุปแผนการเดินทางคร่าวๆได้ดังนี้ครับ
Day 1 : บินจากดอนเมือง ถึงสนามบินไต้หวันตี 1 / นอนสนามบินรอเช้า ประหยัดค่าโรงแรม 1 คืน
Day 2 : เที่ยว Landmark วัด/กู้กง/ชิลิน ในไทเป/ นอนไทเป
Day 3 : ไปเที่ยว Taroko/ นอนไทเป
จองรถไฟล่วงหน้าผ่านเว็บ http://www.railway.gov.tw/en/ ไปลงสถานี Haulien นะครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมอุทยาน : http://www.taroko.gov.tw/English/
Day 4 : เที่ยว เย่หลิว – จิ่วเฟิน / นอนไทเป
Day 5 : (31 ธค. 2557)เที่ยวไทเป และ ค่ำๆขึ้นเขา เซี่ยงซาน รอ count down ถ่ายพลุกับรูปตึกไทเป 101 (Elephant Mountain) / นอนไทเป
Day 6 : ไป Sun moon lake/ นอน sun moon lake
จองรถไฟความเร็วสูง ( HRS ) ได้ที่ http://www5.thsrc.com.tw/en/
Day 7 : เช้า Sun moon lake แล้วไป Alishan (เพราะรถบัสเต็ม) / นอน Alishan
*ตามแผนเดิมเราต้องขึ้นรถทัวร์แต่ 9 โมงแต่รถเต็ม เราเหมารถตู้(แท็กซี่)กันไปที่ราคา 6000 TWD
Day 8 : ตื่นตี 4 นั่งรถไฟสายโบราณไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Alishan และเที่ยวในอุทยาน เย็นๆกลับด้วยรถไฟความเร็วสูง
Day 9 : เช้าไปตั้นสุ่ย พอเที่ยงๆก็ไปสนามบินและบินกลับไทย.6 โมงเย็นของเสาร์วันที่ 27 ธันวา เรามาถึงสนามบินดอนเมืองต่อคิวเช็คอินสักพัก ถึงจังหวะชั่งกระเป๋า ผมซื้อน้ำหนักมา 40 กิโลกรัม แต่… กระเป๋าเรานั้นชั่งรวมแล้วพอดี 40 กิโล !! หลังจากเช็คอินเสร็จคือรู้เลยว่าต้องซื้อน้ำหนักเพิ่ม เพราะแม่กับพี่จะต้องช็อปเพิ่มแน่นอนพอเช็คอินเสร็จก็ต้องไปตรวจคนออกเมือง
หลานผมผ่านตม.ไม่ได้ เพราะแม่มาคนเดียว พ่อไม่ได้มาด้วย !! กลัวว่าจะเป็นการลักพาตัวเด็ก วุ่นวายด้วยการให้ทางพ่อเด็กส่งเอกสารใบสูจิบัตร ผ่าน line มาให้เจ้าหน้าที่ดู สักพักก็ผ่านมาได้ เห้อ โล่งอกไปที
รอบนี้เลือกบินสายการบินพี่เสือ ดีเลย์ขาออก 1 ชั่วโมงครับ
พอเข้ามาในสนามบินกินข้าวอย่างด่วนเลย และก็รีบไปขึ้นเครื่อง และเรามาถึงสนามบินไทเป เวลาประมาณตี 1 ผ่านกระบวนการตม.เสร็จ รับกระเป๋า ตามแผนคืนนี้ผมจะพาแม่กับพี่และหลานตัวเล็ก นอนสนามบินกันครั้งแรกผมหาข้อมูลมาดิบดีว่าให้เดินออกไปแถวๆผู้โดยสายขาเข้าจะนอนสบายกว่า แต่ตอนนั้นดึกแล้วและเก้าอี้ทางซ้ายมือมันก็ว่าง สรุปเราเลยนอนตรงนี้แหละงีบไปสักแป๊ปก็หิวเลยไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อชั้นล่าง ได้มาม่า กับ ชามะนาวมากินให้ท้องอิ่มก่อนนอนพรุ่งนี้สัก ตี5ครึ่งเราจะเข้าตัวเมืองกัน
.ผมกับพี่สลับกันนอนเพราะเรารู้สึกไม่ไว้ใจกลัวของหาย แม้บรรยากาศในสนามบินจะดูไม่น่ากลัวเลยสักนิดเพราะเงียบมาก มีแต่พวกนอนค้างสนามบินอยู่แถวนี้เท่านั้นเอง
.ตี 5 ครึ่งผมไม่รู้ตัวว่าหลับไปแต่เมื่อไหร พี่ผมบอกว่าเช้าแล้วเข้าตัวเมืองกันเถอะเราไปล้างหน้าแปรงฟันกันในห้องน้ำสนามบิน จากนั้นเดินลงไปชั้นล่างเพื่อนั่งรถบัสเข้าเมือง ผมอ่านมาว่ามีรถบัสของยี่ห้อหนึ่งที่จะไปส่งเราถึงโรงแรมได้เลยโดยเพิ่มให้อีกหน่อย ชื่อว่า “Free to go” อะไรทำนองนี้ แต่ผมถามพนักงานขายตั๋วด้วยภาษาอังกฤษ และพนักงานไม่เข้าใจ เปิดแผนที่โรงแรมให้ดูแล้วพนักงานบอกว่าไม่ไปๆ ไปส่งแค่ Taipei main station สรุปว่าไม่ได้ความ
สักพักมี 2 หนุ่มชาวไต้หวันมาซื้อตั๋วรถบัสยี่ห้อนี้เช่นกัน
ผม : “รถยี่ห้อนี้ ไปส่งถึงโรงแรมเลยไหมครับ”
สองหนุ่ม : ” !@#@!#!@# ” ไม่เข้าใจผม อืม…เลยถามใหม่ให้ดูน่าจะเข้าใจกันง่ายขึ้น
ผม : “มันแตกต่างกันยังไงทำไมรถบัสยี่ห้อนี้ถึงแพงกว่าอีกยี่ห้อหล่ะ” พร้อมชี้ราคาให้ดู
สองหนุ่ม : ” !@#@!#!@# ” อืม… ก็ยังไม่เข้าใจอีกแต่เค้าก็พยายามช่วยผมนะผมเอาแผนที่โรงแรมให้ดู เค้าบอกให้ขึ้นคันนี้แหละไป Taipei
main เอ่อ…คุยกันไม่รู้เรื่อง ไปก็ได้วะเราหอบหิ้วกระเป๋าขึ้นรถบัสกันเพื่อเข้าสู่ตัวเมืองไทเปกัน …
วันที่ 28 ธค.
เรานั่งรถบัสจากสนามบินมาถึง Taipei main station ที่เป็นศูนย์รวมการเดินรถทั้งหมด ที่นี่จะมีทั้งรถไฟใต้ดิน รถไฟความเร็วสูง รถไฟธรรมดา และ รถบัส เอาเป็นว่าไปไหนไม่ถูกก็มาที่นี่แหละผมจัดการเอาเอกสารการจองรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จองไปเมือง Taichung ( sun moon lake ) และกลับจากเมือง Chiayi ( Alishan ) ล่วงหน้าผ่านเว็บhttp://www5.thsrc.com.tw/en/ไปออกตั๋วโดยสารและจ่ายเงิน
จัดการรถไฟความเร็วสูงเสร็จ ก็วิ่งไปจัดการออกบัตรโดยสารรถไฟธรรมดาที่วิ่งไปเมือง Hualien ( Taroko ) ซึ่งผมจองล่วงหน้ามาแล้วผ่านเว็บ http://www.railway.gov.tw/en/ เช่นกัน
เมื่อเราแลกตั๋วรถไฟเสร็จแล้วเป้าหมายถัดไปคือเอากระเป๋าโคตร(สัม)ภาระไปฝากไว้กับโรงแรม ก่อนอื่นเราก็ซื้อบัตรที่จะทำให้ชีวิตในไต้หวันเราง่ายขึ้น นั่นคือบัตร Easy Card บัตรเติมเงินที่ใช้กับรถบัส รถใต้ดิน และซื้อของเซเว่น อะไรต่างๆได้สะดวกมากไม่ต้องพกเศษเงินผมก็เลยเติมเงินเข้าไปคนละ 1000 TWD เลยแล้วกัน เพราะเรายังต้องใช้อีกตั้ง 8 วัน และถ้าใช้ไม่หมดเราก็สามารถเอาเงินคืนออกมาจากบัตรได้ครับ ไม่ต้องกังวลไป
โรงแรมที่ผมพักชื่อว่า Star Hotel – Zheng Yi Taipeiซึ่งเป็นโรงแรมที่ทำเลไม่ดีเท่าไหรหรอก แต่ที่ผมเลือกเพราะมันราคาถูกและห้องใหญ่สุดเท่าที่หาได้ในช่วงปีใหม่ที่จองที่ไหนๆก็เต็มไม่ก็แพงไปซะหมด และพาครอบครัวมาทั้งทีจะให้ไปนอนโฮสเทลก็ไม่ไหวหรอกครับผมเคยนอนละมันไม่สบายเอาซะเลย
เราแบกกระเป๋าใบใหญ่หอบขึ้นลงบันไดไปขึ้นรถไฟฟ้า การหอบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถใต้ดินไม่ใช่เรื่องสนุกเอาซะเลย บรรยากาศเริ่มตึงเครียด มันเหนื่อยจากการอดนอน และยังหอบกระเป๋าหนักๆไปสถานีใต้ดินกว่าเราจะมาถึงสถานีใกล้โรงแรมก็หมดแรงซะแล้ว เราจึงตัดสินใจไม่งกแล้วละ นั่งแท็กซี่ไปโรงแรมซะเลย เสียไปประมาณ 100 บาทเองมั้ง โถ่…รู้งี้น่าจะนั่งแต่แรกไม่น่างกเลย.ฝากกระเป๋าที่โรงแรมแล้วก็เดินไปทานข้าวเช้ากัน ร้านข้าวต้มแถวโรงแรมแหละ … คนขายพูดอังกฤษไม่ได้ เราก็พูดจีนไม่ได้ ภาษามือจึงได้ออกบรรเลงชี้ ชี้ ชี้ จนได้อาหารมากิน
‘ข้าวกับหนังหมูต้ม’
‘ก๋วยเตี๋ยวที่มีแต่เส้นกับซุป’
โถ่ถัง… บรรยากาศความเหนื่อยยังไม่หาย อาหารมื้อแรกดัน รสชาติ แหลกไม่ได้อีก ไกด์เถื่อนอย่างผมเริ่มเครียดละนี่ตูพา แม่ พี่ และ หลานตัวน้อยมาทรมานป่าววะเนี้ย
แผนเช้านี้คือเราจะไปวัด Longshan วัดชื่อดังที่สุดของไทเปกัน แนะนำซะหน่อย วัดหลงซัน เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 240 ปี ด้านในประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นวัดที่ชาวไทเปนิยมมากราบไหว้สักการะมากที่สุดวัดหนึ่ง
การเดินทางในไทเปไม่ยาก รถใต้ดินไปถึงทุกที่ที่คุณต้องการ ก็นั่งรถใต้ดินไปที่สถานี Longshan Temple Station พอลงสถานีก็เจอเซเว่นก่อนทางออก
เซเว่นที่ไทเปนี่น่าตื่นตาตื่นใจชะมัดเลยแหละ ผมสั่งไอติมมาทาน ตอนแรกคิดว่ารสนม แต่มันเป็นรสชีสเค๊กแหละ ก็อร่อยดีนะ…ส่วนคนอื่นก็หาของถูกใจกินเป็นมื้อเช้า พอได้กินของอร่อยท้องอิ่มทุกคนก็แฮปปี้ขึ้นแล้วหล่ะ ผมหล่ะดีใจจัง
.พอถึงมาเจอป้ายบอกทางให้เราเลี้ยวขวา เราจะไปไหว้พระในวัดหลวงซานกัน คนเยอะพอสมควรนะถ้าให้เทียบบรรยากาศก็คล้ายวัดเล่งเน้งยี่ของบ้านเราแหละครับ ไหว้พระทำบุญเป็นสิริมงคลแก่ทริปเสร็จ ก็ไปเดินออกมาวนๆเดินเล่นแถววัดเล็กน้อย
แล้วก็นั่งรถใต้ดินไปต่อเป้าหมายถัดไปที่ “อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค”
พอเรามาถึงสถานี Chiang Kai‑shek ก็มีคนเดินมาถามผม ด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทย(มาก)
คนแปลกหน้า : “ไปเจียงไคเช็ค ออกทางไหนครับ”
ผม : “ไม่รู้เหมือนกันครับ”
สักพักแม่พูดไทยออกมา เค้าก็บอกว่าอ้าว…คนไทยเหรอ
กลุ่มคนไทยแปลกหน้าก็เดินไปทางหนึ่ง ผมมองป้ายภาษาอังกฤษที่บอกให้ไปอีกทางแล้วผมก็พาเดินไป
แม่ : “ชิล ไปผิดทางรึเปล่า เค้าไปทางโน้นนะ”
ผม : “ถูกแล้วแม่ทางนี้ชัวร์เชื่อชิลดินี่นักเที่ยวมืออาชีพ กลุ่มนั้นเค้ามือสมัครเล่น”
ผมตอบกับแม่ด้วยอารมณ์เกรียนและผมก็ไปถูกทางจริงด้วยหล่ะ สักพักก็เจอกลุ่มคนไทยกลุ่มนั้นย้อนกลับมาทางเดียวกับเรา
ว่าด้วยอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค สักหน่อย อนุสรณ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ราลึกประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสาคัญต่อประเทศไต้หวันบรรยากาศของสถานที่จะใหญ่โตอลังการมาก จริงๆเนื้อที่เป็นกิโลๆเลยหล่ะสิ่งแรกที่ผมเจอคือ “เด็กวัยรุ่น เต้น cover dance” เฮ้ย ! ตูมาไม่ผิดที่ใช่ไหม
เราเดินวนไปวนมาสักพักก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเท่าไหรแฮะ แต่ถ้าใครมาไทเปก็ต้องมาอะนะ( ลองดูฟ้าสิ ทะมึนเชียว วันนี้ฝนตกปรอยๆทั้งวัน รวมกับการอดนอนจากเมื่อคืน บรรยากาศชวนดราม่าได้ตลอดเวลาเลยหล่ะ)
.พาไปจุดต่อไปกันดีกว่า เป้าหมายถัดไปของเราคือ พิพิธภัณฑ์กู้กง ข้อมูลที่เราได้รับมาคือเป็น The must ถ้ามาไทเปเลยนะ เค้าว่ากันว่า….เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งได้ชื่อว่า เป็น 1 ใน 4 สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของโลก สถานที่รวบรวมของล้าค่าในพระราชวังกู้กงของปักกิ่งไว้ที่นี่ทั้งหมดซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปีชมของล้าค่าหา ยาก เช่น หยกผักกาดขาว หยกหมูสามชั้น หยกตราประทับประจาตัว เฉียนหลงฮ่องเต้ และงาช้างแกะสลักฯลฯ
เรานั่งรถใต้ดินไปสถานี Shilin ถึงประมาณบ่ายโมงเวลาไทเปพอดีระหว่างทางเดินเจอร้าน Sushi takeout ที่พี่หาข้อมูลมาว่าอร่อยและถูกเราซื้อมากินกันดู และก็ไม่ผิดหวังนะ ราคาเท่าซูชิ10บาทบ้านเรา แต่อร่อยเลยหล่ะ
.กินเสร็จก็ต่อด้วยชานมไข่มุก ร้านนี้เราไม่รู้จักแต่คนก็ต่อคิวเยอะดีแฮะจัดสักหน่อย อืม…อร่อยอยู่นะ กินเสร็จเราก็เดินไปตามป้ายนี้ เพื่อไปรอรถบัสสาย 30 กัน
ซึ่งตรงจุดนี้ขอชื่นชมมากคงรู้ว่าทุกคนที่มาสถานีนี้คงจะไปที่ พิพิธภัณฑ์กู้กง กันอยู่แล้วก็เลยทำป้ายการเดินทางตัวโตๆซะเลย
.เรานั่งรถบัสสาย 30 ไปประมาณ 20 นาที รถบัสก็มาส่งถึงด้านในพิพิธภัณฑ์ เลย แต่น่าเสียดายที่เก็บภาพมาฝากไม่ได้เพราะที่นี่ห้ามถ่ายภาพภายในอย่างเด็ดขาด อีกทั้งจะต้องเสียเงินเช่า locker เพื่อฝากมือถือและกล้องซะด้วย
ด้านในพิพิธภัณฑ์ มีของราชวงศ์โบราณมากมาย มีงานแกะสลักหินอ่อน งานแกะสลักงาช้าง ที่ละเอียดมากจนทึ่งในฝีมือคนทำมากจริงๆว่าทำไปได้ยังไง และที่ชั้นบนสุดจะมีโซนที่คนต่อคิวเพื่อเข้าชมหินหมูสามชั้น และ หยกผักกาดขาว ที่ว่ากันว่าเหมือนมากจนต้องมาชมเลยหล่ะ
*ภาพจาก internet ไม่ทราบแหล่งที่มาแน่ชัด
อันนี้ขอคอมเม้นตามตรงนะว่าไม่ได้ประทับใจที่นี่มากอะไรนัก ถ้าใครเวลาน้อยไม่ต้องมาก็ได้แต่ที่นี่ก็ใกล้ตลาด shilin night market ตลาดกลางคืนที่ใหญ่และดังที่สุดของไทเป.เสร็จจากกู้กง เรานั่งรถบัสสายเดียวกับขามาคือ สาย30 เพื่อย้อนกลับไปสถานี Shilin เพราะเราจะต่อรถไฟฟ้าไป สถานี Jiantan station (exit 1) เพราะว่าจะเดินไปตลาดนัด Shilin ใกล้กว่าจากสถานี Jiantan ( น่าแปลกเน้อะ)
แต่พอผมขึ้นรถผมก็เห็นป้ายว่ารถบัสวิ่งผ่านสถานี Jiantan ผมถามคนขับอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่ารถผ่านจริงๆ เราเลยนั่งรถยาวซึ่งการนั่งรถสายนี้ไปตลาดอ้อมมากๆนั่งประมาณครึ่งชั่วโมงเลยหล่ะ แต่ข้อดีก็คือเราจะได้ชมบรรยากาศบ้านเมืองแถวนี้ว่าเค้าอยู่กันยังไง
พอมาถึงเราก็เดินไปตลาด Shilin night market ที่เป็นตลาดกลางคืนที่ดังและใหญ่ที่สุดของไทเป และผมหาซิมมือถือได้ที่ตลาดนี้ 7 วันประมาณ 500 บาท ( ซื้อสนามบินถูกกว่าแต่เราออกมาแต่เช้ามืดไม่ทันร้านเปิด8โมง)
ได้ซิมมือถือแล้วก็เดินเล่น ชมร้านค้า และหาข้าวทานกัน
.อยากจะเดินให้ทั่ว แต่วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากๆ เพราะเราอดนอนแต่เมื่อคืน อีกทั้งฝนก็ตกปลอยๆทั้งวัน ลงมติว่าเราเที่ยวตลาดแค่นี้พอเดียวไว้ค่อยมาใหม่ เรายังเหลือเวลาอีกตั้ง 7 วันแหนะ เดินกลับไปขึ้นรถไฟกลับที่พักกันดีกว่า
29 ธันวาคม เช้าวันที่ 3 ของการเดินทาง
.วันนี้เราจะมี day trip ไปที่ อุทยานแห่งชาติ Taroko ที่คนไทยอ่านว่า “ทาโรโก๊ะ” แต่จริงๆแล้วต้องอ่านว่า “ไท่ลู๋เก๋อ” นะครับ (Taroko National Park) ที่นี่ถือได้ว่าเป็นอุทยานแห่งชาติใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไต้หวันเลยทีเดียว ทาโระโกะ ( taroko) มาจากภาษาของชาวพื้นเมือง ซึ่งหมายถึง ภูเขาที่ยิ่งใหญ่ อุทยานแห่งนี้มีอาณาเขตครอบคลุม พื้นที่3 เมือง ได้แก่ ฮวาเหลียน หนานโถว และ ไถจง ที่นี่ถือได้ว่าเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของธรรมชาติได้อย่างสวยงามเป็นอุทยานที่มีหน้าผาเป็นหินอ่อนเยอะแยะมากมาย ว่ากันว่าสวยงามมากและไม่ควรพลาดไปชม ซึ่งตอนแรกผมตัดออกจากแผนไปแล้วเพราะดูรูปแล้วไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย แต่เกือบพลาดครับเพราะที่นี่ต้องใช้สายตาตัวเองสัมผัสจริงๆว่ามันสวยยังไง ดูจากภาพแล้วไม่สวยครับ
.เริ่มต้นวันแต่เช้าตรู่เรามากัน 4 คนดังนั้นจึงจับแท็กซี่จากโรงแรมไปยัง Taipei main station เลยไวกว่าและแพงกว่าค่ารถไฟนิดเดียวเอง เรามาถึงไวกว่ากำหนด 40 นาที เลยซื้อข้าวเช้ากินจากเซเว่นในสถานี เพื่อเอาไปทานเป็นมื้อเช้าบนรถไฟ* อาหารเซเว่นไต้หวันนี่ถือว่าเป็นที่ฝากท้องหลักของทริปเราเลยหล่ะมีทั้งโอเด้ง ทั้งเกี๊ยวซ่า และอาหารกล่องต่างๆซึ่งอร่อยแบบกินไม่เบื่อเลย
หมายเหตุ : เราสามารถทานอาหารบนรถไฟระหว่างเมืองได้เหมือนชิงคังเซ็นที่ญี่ปุ่น ( แต่รถไฟฟ้าห้ามนะครับ ).วันนี้เรานัดกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่มที่ตอนแรกผมจะมาด้วยกันแต่พอกรุ๊ปใหญ่ขึ้นเราเลยแยกกัน และไปด้วยกันบางวันที่ออกนอกเมืองเช่นวันนี้ ก็ไลน์หากันว่าอยู่ไหนแล้ว
ชิล : “เมิง มาถึงยังวะ รออยู่ใน Platform แล้วนะกินข้าวรอ ”
เพื่อน : ” เออเพิ่งถึงมันอยู่ตรงไหนวะ Platform ไร ”
ชิล : “Platform xx ตามป้ายในตั๋วอะ แล้วซื้อข้าวเซเว่นมากินด้วย ไม่ก็มาตรง Platform ก็มีเซเว่นขายเหมือนกัน”
เรานั่งกินที่จุดพักรอขึ้นรถไฟสักพักเหลืออีก 10 นาทีก็ได้เวลารถออกจึงลงบรรไดเลื่อนไป แต่…
ไม่มีป้ายขบวนรถไฟของเรา ซวยแล้ว !
ผมวิ่งไปถามกลุ่มวัยรุ่นว่าใช่ตรงนี้รึเปล่า น้องเค้าไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษแต่ก็ พอจะสื่อสารได้ว่าเรามาผิดช่อง ต้องไปฝั่งตรงข้าม ผมวิ่งไปชั้นบนที่เราลงมา ถามกับนายสถานีให้แน่ใจว่าเราต้องไปอีกช่องจริงๆ
พอมั่นใจแล้วก็เรียกพี่ให้ตามมาด้วยความเร่งรีบ กลัวตกรถไฟพอลงอีกฝั่งหนึ่งก็เจอรถไฟมาจอดพอดีเห้อ โล่งอก
.รถไฟออกตรงเวลาเรานั่งรถไฟที่ไม่ใช่ Hispeed แต่มันก็ดีงามไม่แพ้กันเลย ลองดูสภาพภายในรถสิ มันช่างสะดวกสบายน่านั่งจริงๆ เส้นทางที่ไป Taroko จะผ่านเส้นทางริมทะเลหลายครั้ง นั่งชมวิวบ้างหลับบ้าง 3 ชม.กว่าๆก็มาถึงสถานี “Hualian”
พอออกจากสถานีจะเจอแท็กซี่มารอเต็มไปหมดก็ลองต่อรองราคากันดูครับ อยู่ที่ประมาณ 2500-3000 TWD ต่อ 4-5 คน ซึ่งเราต่อรองกับแท็กซี่มาได้เป็น Toyota wish นั่งได้ 7 คนไปคันเดียวทั้งกลุ่ม เหมามาได้ที่ราคา 3500 TWD รวม Qingshui Cliff ไปด้วย
เพิ่มเติม : ถ้าใครไปคนเดียวมีรถบัสดูได้จาก http://www.taroko.gov.tw/English/?mm=5&sm=3&page=4 ขอบคุณข้อมูลคุณ 石書亭คนใน FB Page ครับ.จุดแรกที่รถจะพาไปก่อนเพื่อนเลยคือ “Qingshui Cliff” เป็นหน้าผาที่จะชมวิวทะเลได้สวยงาม บรรยากาศสวยทีเดียวแหละ แต่น่าเสียดายที่ตอนเราไปไม่สามารถเดินลงไปได้เค้าปิดทางเดินเพราะน่าจะไม่ปลอดภัยหน่ะ เลยอดชมทะเลใกล้ๆเลย
หลังจากแวะ Qingshui Cliff เสร็จแล้วก็ขึ้นรถแท็กซี่จะพาไปจุดต่อไปคือ ปากทางเข้า Taroko อุทยานทาโรโกะ จะเป็นแนวเขามีลักษณะคล้ายช่องเล็กที่อยู่ระหว่างยอดเขาสูง และ ช่องเขาที่มีหน้าผาสูงชันซึ่งหน้าผานั้นจะเป็นหินอ่อนสลับกับหยกที่เรียงรายไปตามทางหน้าผา
.เราแวะถ่ายรูปกับทางเข้าสักพักเสร็จแล้วก็ขึ้นรถต่อไปยังจุดต่อไปคือ Changchun (Eternal Spring) Shrine เป็นน้ำตกสายเล็กๆที่มี trail ให้เราเดินไปประมาณสัก 600 เมตรไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นความอลังการของขุนเขาไท่ลู๋เก๋อแล้วหล่ะเห็นน้ำตกไกลๆตรงโน้นไหมครับเดียวเราจะเดินอ้อมไปกัน
ลองเทียบสเกล กับ คนดูครับ ว่าภูเขาแถวนี้ใหญ่โตขนาดไหน
จากภาพด้านบน พระจะอยู่ทางซ้ายครับ
ถ้าใครยังมีแรง สามารถเดินขึ้นเขาไปต่อได้ครับ แต่ผมไม่ได้เดินละเก็บแรงไว้ที่อื่นดีกว่า
.พอผมไหว้พระเสร็จ หันมาก็ไม่เจอเพื่อนผมซะแล้วมันหายไปไหนวะ ผมคิดในใจว่าเพื่อนน่าจะเดินขึ้นเขาไปแน่เลย แต่ผมมองขึ้นไปด้านบนละโคตรสูงขอบายดีกว่า ผมก็เลยเดินกลับมาหาพี่กับแม่ ที่ไม่ได้ไปด้วยกัน
ณ จุดที่แท็กซี่มาจอดพอเดินลงบรรไดลงมานิดหนึ่งจะเจอร้านชา นั่งจิบชาชมบรรยากาศความอลังการของธรรมชาติก็คงฟิน
ขอพูดถึงแท็กซี่ที่ไท่ลู๋เก๋อสักหน่อย คือพี่คนขับพูดอังกฤษไม่ได้เลยแต่เราก็ยังพอจะสื่อสารเข้าใจด้วยภาษามือ และเค้าก็ใช้ smartphone แปลจากจีนเป็นอังกฤษให้เราอ่านด้วย รวมทั้งการแวะแต่ละจุดไม่เคยเร่งเลยอยากอยู่นานแค่ไหนก็อยู่ครับ
ดูเส้นทางการท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ http://www.taroko.gov.tw/English/?mm=5&sm=2&page=1#up
.พอขึ้นรถสักพักคนขับก็ขับพาเข้าไปที่ Swallow grotto ซึ่งก่อนถึงจุดนี้อยู่ดีๆคนขับก็จอดรถ แล้วทำมือบอกว่าไม่ต้องลง เค้าลงไปเอาหมวกมาให้ใส่ครับเพราะมีโอกาสที่หินจะหล่นมาใส่หัวเราได้ ป้องกันไว้ก่อน
คนขับจะปล่อยเราลงให้เดินประมาณ 1 กิโลเมตรมั้งครับ แล้วคนขับจะไปขับรถไปรอรับตรงสิ้นสุดทาง เราก็เดินชมเส้นทางไปเรื่อย เขาทั้งเขาเป็นหินอ่อน สุดอลังการงานสร้าง คือต้องมาชมด้วยตานะที่นี่ ถ่ายรูปไม่ขึ้นครับ
.พอสิ้นสุดทางเลื่อน เฮ้ย! สิ้นสุดทางเดินเราก็ไปทานข้าวกันครับ น้าคนขับพาไปตรงคล้ายๆ visitor information (Taroko Terrace)ซึ่งจะเลยจุดไฮไลท์ที่ชื่อว่า Cimu Bridge ไปก่อนครับ
ตรงนี้จะมีร้านข้าวให้เราเลือกประมาณ 3 ร้าน ถูกใจร้านไหนก็เข้าไปเลยครับ เมนูอาหารมีภาษาอังกฤษ ( รสชาติไม่อร่อย แค่พอทานได้ แพงกว่าในไทเป แต่ราคายังรับได้ครับ )
.กินเสร็จแล้วแถว Taroko Terrace เนี้ยจะมีเหมือนเขาย่อมๆมีเจดีย์ และ เจ้าแม่กวนอิม ผมกับเพื่อนก็ไปลุยกันสองคนครับปล่อยคนอื่นรอแถวๆเดิมไปก่อน สายลุยเดินกัน
ตรงเจดีย์สามารถเดินขึ้นไปได้อีกประมาณ 5 ชั้นครับ วิวสวยงามอลังการมากกกกกก คุ้มค่าที่เดินมาจริงๆ
( เห็นปลายสะพานทางด้านซ้ายไหมครับ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราเดินมา ก็ไกลไม่น้อยนะ ).พอเสร็จแล้วก็เดินกลับย้อนไปทางเดิมครับ และก็ขึ้นรถไปจุดไฮไลท์คือ Cimu Bridge ลองดูหินใต้สะพานแดงนะครับ มันจะรูปร่างคล้ายกบ ลองจินตนาการดู
ย้ำอีกครั้งนะครับ หินที่เห็นทั้งหมดคือ “หินอ่อน” รัฐบาลเค้าอนุรักษ์ไว้ครับไม่ให้ทำสัมปทาน
เนื่องจากเราเที่ยวกันแบบ slow life มากแวะแต่ละจุดอย่างนาน คนขับไม่ได้เร่งนะครับแต่เค้าบอกว่าจะมืดแล้วให้ขึ้นรถไปเถอะ ตอนแรกเราก็คิดว่าเค้าจะไปส่งเราที่สถานีครับแต่คนขับพาไปอีกที่ ที่ไหนก็ไม่รู้…
เราก็งงๆเพราะมาถึงหาดนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วครับ นับถือในความจริงใจของคนขับจริงๆ ที่นี่มาค้นทีหลังชื่อว่าChishingtan Beach ครับ
.จากนั้นเราก็นั่งรอรถไฟที่สถานี Hualian ที่เราจองไว้รอบประมาณ 1 ทุ่มเพื่อกลับไปไทเปครับ เป็นอันจบ Daytrip Taroko พอกลับไปถึง Taipei main station เราก็ไปกินชีสเค๊กร้าน Uncle Tetsu กัน
Uncle Tetsu’s Cheesecake ที่เค้าว่าไปไต้หวันไม่กินไม่ได้เชียวนะแต่จริงๆแล้วถ้าดูประวัติเค๊กเจ้านี้มาจาก Fukuoka ประเทศญี่ปุ่นแหละ เอาเถอะจะมาจากไหนก็ตาม แต่คุณหากินได้ที่ไต้หวันร้านที่คิดว่าทุกคนต้องผ่าน คือที่ Taipei main station ถ้าไปไต้หวันยังไงก็ต้องไปต่อรถไฟกันที่นี่แน่นอน เป็นศูนย์รวมรถบัส และ รถไฟทั้งปกติ และ รถไฟความเร็วสูง
ซึ่งร้านนี้หาไม่ยาก ร้านอยู่ชั้น 1 ตรงแถวกลางๆและที่เด่นๆเลยนะ หน้าร้านจะมีแถวเข้าคิว ซึ่งจะมีคนเข้าคิวตลอดเวลา เอ่อ… อะไรจะขนาดนั้น
เข้าคิวรอเลยครับ กลิ่มขนมหอมยั่วน้ำลายสุดๆ
ตอนผมไปเข้าคิวแป๊ปเดียวก็ได้มาแล้วหอมสุดๆๆ กำลังร้อนๆเลย เปิดกล่องออกมาหน้าตาแบบนี้
ตักชีสเค๊กเข้าปากกกกกกกกกกกกกกเนื้อชีสเค๊กนุ่มเวอร์ๆๆๆ ละลายในปากเลยครับ ไม่ต้องเคี้ยวนี่เขียนไปท้องร้องไป อยากไปไทเปอีกจัง >.<
วันที่ 4 เย่หลิว จิ่วเฟิน
เช้านี้เราออกเดินทางค่อนข้างสาย ทานข้าวที่โรงแรมเป็นวันแรกรสชาติบ้านๆแต่ถูกปากทีเดียวหล่ะ เราก็ไปขึ้นรถที่ Taipei main station เช่นเคยแต่คราวนี้ต้องเดินไปยัง Taipei west bus station ครับซึ่งเดินจากจุด MRT พอสมควรลองดูป้ายในสถานีเอาแล้วกันครับ
เดินมาถึงที่ Taipei west bus station ก็ซื้อตั๋วไป Yehliu รถบัสสาย 1815 ประมาณคนละ 96 TWD ครับ
บรรยากาศในรถ รถบัสไต้หวันก็ยังน่านั่ง และนั่งสบายเหมือนเคยดีกว่าที่จินตนาการไว้มากกกก
นั่งไปประมาณชม.กว่าๆเราก็จะมาถึงเย่หลิว จุดที่คนลงเยอะๆหล่ะ หรือสังเกตได้จากป้ายทางเข้าอันนี้ครับ ถ้าเห็นป้ายนี้ก็ลงได้เลย
.พอเดินเข้ามาสักพักก็จะเจอเรือประมง และ หมู่บ้านริมน้ำ บรรยากาศมุมนี้คล้ายอิตาลีมากมาย ให้เดินต่อไปครับจนถึงอุทยาน
ก่อนเข้าอุทยานก็จะต้องซื้อตั๋วคนละ 80 TWD ครับตรงจุดนี้ก็จะมีป้ายแนะนำหินชื่อดังว่าอยู่ตรงไหนของสวนบ้าง ถามว่าผมอ่านไม๊… ไม่แหมอ่านทำไมเดินลุยไปเลยเจออะไรก็ถ่ายอันนั้นหล่ะ
คือที่จินตนาการไว้คิดว่ามันจะเป็นคล้ายๆทะเลทราย แต่ป่าวเลยที่เย่หลิว คือ หินริมทะเล ที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนเป็นรูปต่างๆลองดูภาพนี้สิ เหมือนเกาะเลยแฮะ
พอเข้าเดินมาในอุทยานจุดแรกที่จะได้ชมคือกลุ่มหินปุ่มทางซ้ายมือ
ขอถ่ายรูปกะหินมีชื่อหน่อยนะครับ
หินนี้ไม่ใช่หินเศียรราชินี แต่ก็ดังไม่แพ้กันครับ
นี่ไม่ใช่อยู่ดาวอังคารนะ มันคือหินโซนริมทะเล
และเมื่อเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆก็จะเจอเส้นทางชมนก คือบนเขาเตี้ยๆในภาพแรกที่เห็นครับ
ซึ่ง….ไม่เจอนกสักกะตัว ได้แต่วิวเทพๆกับมิตรภาพดีๆจากเพื่อนโอปป้าเกาหลีคู่หนึ่งที่มาขอให้ผมถ่ายรูปให้
วิวด้านบนคุ้มค่าเสมอ “ยิ่งสูงยิ่งสวย” คำนี้ไม่ค่อยทำให้ผิดหวัง เจออะไรที่เป็นทางขึ้นเขาก็แข็งใจเดินกันไปเถอะ วิวด้านบนไม่(ค่อย)ทำให้คุณผิดหวัง
.จากนั้นก็เดินลงมาเพื่อไปต่อคิวถ่ายภาพหินเซเลปของที่นี่ หินศรีษะราชินีครับส่วนผมก็ให้เพื่อนเกาหลีที่เพิ่งเจอถ่ายรูปให้ครับ เพราะแม่พี่และหลาน เค้าไม่เดินเข้ามากันเที่ยวอยู่แค่ด้านหน้าๆ
ผมถ่ายภาพกับหินเซเลปเสร็จก็ได้เวลากลับเพื่อไปจิ่วเฟินกันต่อระหว่างทางกลับไปท่ารถบัส เราก็พบกับ “เป็ดย่าง” เห้ยมันน่ากินมาก ทุกคนลงมติว่าซื้อเหอะทั้งตัว 380 NT ตัวใหญ่อลังการ เนื้อนุ่มสุดๆ !!
ชี้เป้า
ร้านเป็นรถกะบะ ตั้งอยู่ตรงข้าม family martไม่รู้ว่าขายบ่อยแค่ไหน เอาเป็นว่าถ้าใครดวงดีได้เจออย่าลืมซื้อมากินนะ อร่อยมากจริงๆ
.อิ่มละก็ไปต่อที่ หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่นซึ่งเป็นแหล่งเหมืองทองที่มีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยกษัตริย์กวงสวี้ แห่งราชวงศ์ชิง มีนักขุดทองจำนวนมากพากันมาขุดทองที่นี่ การโหมขุดทองและแร่ธาตุต่างๆ ทำให้จำนวนแร่ลดลงอย่างน่าใจหาย ผู้คนพากันอพยพย้ายออกไปเหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความทรงจำ จนกระทั่งมีการใช้จิ่วเฟิ่นเป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์ “เปยฉิงเฉิงชื่อ” และ “อู๋เหยียน เตอะซันชิว” ทัศนียภาพภูเขาที่สวยงามในฉากภาพยนตร์ ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้เดินทางมาชื่นชม จิ่วเฟิ่นจึงกลับมาคึกคักและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
วิธีการเดินทางจากเย่หลิวก็คือนั่งรถบัสจากจุดทางเข้าเย่หลิว กลับไปที่เมือง Keelung ก่อนผมจำสายไม่ได้แต่คนต่อคิวเยอะแยะครับไม่ต้องกลัวหลง จากนั้นต่อรถสาย 788 ไปจิ่วเฟิน
บรรยากาศเมือง Keelung เมืองท่าริมน้ำ
จากนั้นเมื่อมาถึงเมือง Keelung แล้วให้ขึ้นรถบัสหน้า family mart สาย 788 ไปจิ่วเฟินครับ
( แต่รถบัสฉิ่งฉับมากกกกก ถ้ามากันหลายคนลองเหมาแท็กซี่ไปจาก Keelung เลยก็ดีครับ)
.ขึ้นรถบัสสาย 788 ครับนั่งประมาณ ชั่วโมงกว่าๆก็จะมาถึงเมืองโบราณจิ่วเฟินละ แต่เราพลาดนิดหนึ่งคือผมตั้งใจจะมาให้ทันแสงเย็นที่นี่ แต่ดันมาถึงค่ำซะแล้วแต่ถนนสายหลักก็ยังครึกครื้นครับ ไปเดินกันเลย
.ร้านแรกที่เราเจอก็คือร้านบัวลอยไต้หวัน อันนี้เป็นความปลื้มส่วนตัวอยู่แล้วเพราะเคยกินที่ มาเลเซียและสิงคโปร์มาแล้ว เป็นบัวลอย ผสมเฉาก๊วย และราดวิปครีม อร่อยโคตรๆๆ แต่…ร้านนี้จะแนวบัวลอยไต้หวันแบบไม่ประยุกต์ครับ แต่ร้านนี้อร่อยใช้ได้นะผมว่า ต้องลองครับ
.บรรยากาศในจิ่วเฟินก็จะเป็นแบบหมู่บ้านจีนโบราณเลย ไม่ต้องไปจีนก็ได้บรรยากาศเดียวกันเลยครับ เดินไปกินไป ใจนี่อยากกินทุกร้านคืออร่อยทุกร้านก็ว่าได้ กินจนพุงจะแตก ใครจะมาที่นี่ไม่ต้องหาอะไรรองท้องมาก่อนนะเดียวอิ่มไว แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน
… ร้านนี้ขายขนม รูป “กาปู๋”ใครเคยลองกินก็บอกรสชาติหน่อยนะ ผมไม่กล้า 555
ร้านขนมเปี้ยร้านนี้ก็อร่อย
ไอติมถั่ว โคตรของโคตรอร่อยมันคือแป้งสายไหม และเอาถั่วตัดมาขูด โป๊ะด้วยไอติมเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
ร้านน้ำชาก็ดู chic ดีนะ จิบชากับอากาศดีๆน่าจะฟิน
พอเดินมาสักพักก็จะเจอเหมือนจุดชมวิวหมู่บ้านครับ ถ้าได้มาดูแสงเย็นตอนนี้ก็คงสวยน้ะ
.จากจุดชมวิวก็หันหลังกลับไปยังจุดที่เป็นฉากในการ์ตูนชื่อดังครับคนเยอะโคตรรรรรรรรรรรรร เรียกได้ว่าไหลตามกันไปเลยจะดีกว่า
ทางเดินบันไดประมาณ 20 เมตรแต่เดินประมาณ 10 นาทีในที่สุดก็มาถึงโรงน้ำชาเซเลปที่อยู่ในป้ายโฆษณาหมู่บ้านครับ ก็สวยดีนะ
.เราไปตะลุยกินกันดีกว่าครับ เมืองนี้ถือเป็นสวรรค์นักกินเลยของกินเยอะมาก และ อร่อยมาก ขอภูมิใจเสนอร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยที่สุดที่กินที่ไต้หวันครับ ร้านนี้เลย
ชิล : แม่ร้านนี้อร่อยนะ รสชาติเหมือนก๋วยเตี๋ยวไทยเลย
แม่ : ใช่ๆแม่ว่าเหมือนนะ
ชิล : หรือเจ้เจ้าของร้านนี้คือคนไทย ที่มาแต่งงานกับคนไต้หวัน และนี่คือสูตรเตี๋ยวไทย?
ตึ่ง… มุขนี้เงียบกริบ
.กินอิ่ม และตอนนั้นเกือบ 3 ทุ่ม ได้เวลากลับเดียวจะไม่มีรถกลับไทเป เราก็ไปยืนรอรถครับมันจะมีรถบัสวิ่งตรงกลับไปยังไทเปเลย น่าจะรถถึง 4 ทุ่มนะครับพอดีอ่านป้ายจีนไม่ออกก่อนกลับก็ซัดไอติมอีกชุดครับ อร่อยจริง
… รถบัสที่วิ่งลงเขานี่ วิน ดีเซล ยังอายอะครับ พี่ขับรถบัสแต่เข้าโค้งแรงมาก ดริฟได้เค้าคงดริฟไปแล้ว ผมคิดว่าพี่เค้าน่าจะเป็นสตั้นแมนในหนัง fast and furious ขับแทนพระเอก เพราะตอนขามากว่าจะถึงใช้เวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมงใช่ไหมครับ แต่ขากลับ 1 ชม.นิดๆครับ พี่จะรีบไปไหน ผมนี่เกาะเบาะแน่นเลยครัช.พอกลับมาถึงไทเปก็ไปส่งคนอื่นๆที่โรงแรมพอส่งเสร็จผมก็นัดเพื่อนไปถ่ายต้นคริสมาสที่ตั้งใจอยากไปถ่ายตั้งแต่ไทยแล้วครับ ก็นั่งรถไฟฟ้าไปสถานี Taipei city hall ครับ และกว่าจะถึงก็ 5 ทุ่มละ ต้นคริสมาสต้นใหญ่มากกกกกกกก สองตากล้องก็ได้ภาพมาสมใจครับ
23:50 ผมวิ่งหน้าตั้งไปสถานีรถไฟใต้ดินครับรถไฟปิดเที่ยงคืน วิ่งครับวิ่ง
..
ขึ้นรถไฟปั๊บ ก็โพสเล่าประสบการณ์กับเพื่อนๆในเพจว่านี่ขึ้นรถไฟรอบสุดท้ายทัน โคตรลุ้น.แต่ลืมครับลืมว่าไอ้รถไฟที่นั่งอะปลายทางมันไม่ใช่ผมขึ้นผิดคัน ได้ลงสถานีอะไรก็ไม่รู้ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับที่พักมากนัก แต่ไม่รู้จะกลับยังไง เดินคอตกไปถามนายสถานีครับว่าจากนี้จะไปโรงแรมได้ยังไง รถไฟหมดแล้วใช่ไหม แล้วมีรถบัสไหม
นายสถานีใจดีตอบว่าไม่มี นี่ดึกไปแล้วหล่ะ ผมเลยเสียเงินค่าแท็กซี่ไปส่งโรงแรมครับหมดไปอีก ร้อยกว่าบาท เป็นประสบการณ์ตกรถไฟครั้งแรกในชีวิตกันไป ฮ่าๆๆๆ
ขอจบการรีวิวไต้หวันตอนแรกเพียงเท่านี้ครับ ยังมีอีก 4 วัน ขอยกยอดไปตอนหน้าครับ
1. ติ่งไท่ฟง สาขาที่ได้ มิชิลิน และ บรรยากาศ count down ที่ไทเป
2. Sun moon lake ทะเลสาบสุริยันจันทรา
3. Alishan เขาชื่อดังของไต้หวัน ที่คนไทยไม่ค่อยไปมากนัก
4. Tumsui สวรรค์นักกิน