วันที่ 28 ธค. วันที่ 2 ของทริปและวันแรกของการเที่ยวไทเป
. เรานั่งรถบัสจากสนามบินมาถึง Taipei main station ที่เป็นศูนย์รวมการเดินรถทั้งหมด ที่นี่จะมีทั้งรถไฟใต้ดิน รถไฟความเร็วสูง รถไฟธรรมดา และ รถบัส เอาเป็นว่าไปไหนไม่ถูกก็มาที่นี่แหละ ผมจัดการเอาเอกสารการจองรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จองไปเมือง Taichung ( sun moon lake ) และกลับจากเมือง Chiayi ( Alishan ) ล่วงหน้าผ่านเว็บ http://www5.thsrc.com.tw/en/ ไปออกตั๋วโดยสารและจ่ายเงิน พอจัดการรถไฟความเร็วสูงเสร็จ ก็วิ่งไปจัดการออกบัตรโดยสารรถไฟธรรมดาที่วิ่งไปเมือง Hualien ( Taroko ) ซึ่งผมจองล่วงหน้ามาแล้วผ่านเว็บ http://www.railway.gov.tw/en/ เช่นกัน
. เมื่อเราแลกตั๋วรถไฟเสร็จแล้วเป้าหมายถัดไปคือเอากระเป๋าโคตรสัมภาระไปฝากไว้กับโรงแรม โรงแรมที่ผมพักชื่อว่า Star Hotel – Zheng Yi Taipei ซึ่งเป็นโรงแรมที่ทำเลไม่ดีเท่าไหรหรอก แต่ที่ผมเลือกเพราะมันราคาถูกและห้องใหญ่ พาครอบครัวมาทั้งทีจะให้ไปนอนโฮสเทลก็ไม่ไหวหรอกครับ ไกลหน่อยไม่เป็นไรเน้นนอนสบายดีกว่า
. เราแบกกระเป๋าใบใหญ่หอบขึ้นลงบันไดไปขึ้นรถไฟฟ้า นั่งรถไปสถานีใกล้โรงแรม การหอบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถใต้ดินไม่ใช่เรื่องสนุกเอาซะเลย บรรยากาศเริ่มตึงเครียด มันเหนื่อยจากการอดนอน และยังหอบกระเป๋าหนักๆไปสถานีใต้ดินกว่าเราจะมาถึงสถานีใกล้โรงแรมก็หมดแรงซะแล้ว
แค่เริ่มต้นทริปก็ทำท่าจะพังซะแล้ว
เราจึงตัดสินใจไม่งกแล้ว นั่งแท็กซี่ไปโรงแรมซะเลย เดียวบรรยากาศจะตึงเครียดไปกว่านี้ สรุปเสียไปประมาณ 100 บาทเองมั้ง โถ่…รู้งี้น่าจะนั่งแต่แรกไม่น่างกเลย
. ฝากกระเป๋าที่โรงแรมแล้วก็เดินไปทานข้าวเช้ากัน ร้านข้าวต้นแถวโรงแรมแหละ … คนขายพูดอังกฤษไม่ได้ เราก็พูดจีนไม่ได้ ภาษามือจึงได้ออกบรรเลง ชี้ ชี้ ชี้ จนได้อาหารมากิน
ข้าวกับหนังหมูต้ม และ ก๋วยเตี๋ยวที่มีแต่เส้นกับซุป
โถ่ถัง… บรรยากาศความเหนื่อยยังไม่หาย อาหารมื้อแรกดั้นรสชาติแหลกไม่ได้อีก
ไกด์เถื่อนอย่างผมเริ่มเครียดละ นี่ตูพา แม่ พี่ และ หลานตัวน้อยมาทรมานป่าววะเนี้ย
. เอาวะชีวิตต้องเดินต่อ แผนเช้านี้คือเราจะไปวัด Lungshan วัดชื่อดังที่สุดของไทเปกัน ก็นั่งรถใต้ดินไป พอลงสถานีก็เจอเซเว่นก่อนทางออก เซเว่นที่ไทเปนี่น่าตื่นตาตื่นใจชะมัดเลยแหละ ผมสั่งไอติมมาทาน ตอนแรกคิดว่ารถนม แต่มันเป็นรสชีสเค๊กแหละ ก็อร่อยดีนะ… ส่วนคนอื่นก็หาของถูกใจกินเป็นมื้อเช้า พอได้กินของอร่อยท้องอิ่มทุกคนก็แฮปปี้ขึ้นแล้วหล่ะ ผมหล่ะดีใจจัง
. พอถึงมาเจอป้ายบอกทางให้เราเลี้ยวขวา เราจะไปไหว้พระในวัดหลวงซานกัน คนเยอะพอสมควรนะถ้าให้เทียบบรรยากาศก็คล้ายวัดเล่งเน้งยี่ของบ้านเราแหละครับ ไหว้พระทำบุญเป็นสิริมงคลแก่ทริปเสร็จ ก็ไปเดินออกมาวนๆเดินเล่นแถววัดเล็กน้อย
. แล้วก็นั่งรถใต้ดินไปต่อกันที่ “อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค”
พอเรามาถึงสถานี Chiang Kai‑shek ก็มีคนเดินมาถามผม ด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทย(มาก)
คนแปลกหน้า : “ไปเจียงไคเช็ค ออกทางไหนครับ”
ผม : “ไม่รู้เหมือนกันครับ”
สักพักแม่พูดไทยออกมา เค้าก็บอกว่าอ้าว…คนไทยเหรอครับ
กลุ่มคนไทยแปลกหน้าก็เดินไปทางหนึ่ง ผมมองป้ายภาษาอังกฤษที่บอกให้ไปอีกทางแล้วผมก็พาเดินไป
แม่ : “ชิล ไปผิดทางรึเปล่า เค้าไปทางโน้นนะ”
ผม : “ถูกแล้วแม่ทางนี้ชัวร์ เชื่อชิลดินี่นักเที่ยวมืออาชีพนะ กลุ่มนั้นเค้ามือสมัครเล่น ”
ผมหัวเราะร่าตอบกับแม่ด้วยความภูมิใจ และผมก็ไปถูกทางจริงด้วย สักพักก็เจอกลุ่มคนไทยกลุ่มนั้นย้อนกลับมาทางเดียวกับเรา
ว่าด้วยอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค สักหน่อย อนุสรณ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ราลึกประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสาคัญต่อประเทศไต้หวัน บรรยากาศของสถานที่จะใหญ่โตอลังการมาก จริงๆเนื้อที่เป็นกิโลๆเลยหล่ะ
. เราเดินวนไปวนมาสักพักก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเท่าไหรแฮะ พาแม่ไปจุดต่อไปดีกว่า เป้าหมายถัดไปของเราคือ พิพิธภัณฑ์กู้กง ข้อมูลที่เราได้รับมาคือเป็น The must ถ้ามาไทเปเลยนะ เค้าว่ากันว่า….เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งได้ชื่อว่า เป็น 1 ใน 4 สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของโลก สถานที่รวบรวมของล้าค่าในพระราชวังกู้กงของปักกิ่งไว้ที่นี่ทั้งหมดซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปีชมของล้าค่าหา ยาก เช่น หยกผักกาดขาว หยกหมูสามชั้น หยกตราประทับประจาตัว เฉียนหลงฮ่องเต้ และงาช้างแกะสลักฯลฯ
. เรานั่งรถใต้ดินไปสถานี Shilin ถึงประมาณบ่ายโมงกว่าๆ เวลาไทเปพอดีระหว่างทางเดินเจอร้าน Sushi takeout ที่พี่หาข้อมูลมาว่าอร่อยและถูกมากกกก ราคาคำละประมาณ 10 บาทมั้ง เราซื้อมากินกัน และก็ไม่ทำให้ผิดหวังเป็นมื้ออร่อยมื้อแรกของเราเลย เราเริ่มหลงรักอาหารที่ไต้หวันบ้างแล้วหล่ะ
กินเสร็จก็ต่อด้วยชานมไข่มุก ร้านนี้เราไม่รู้จักแต่คนก็ต่อคิวเยอะดีแฮะจัดสักหน่อย ต้นตำหรับชาขมไข่มุกเกิดที่ไต้หวันนะลองชิมดูว่ามันจะเหมือนไทยรึเปล่า สรุปแล้วว่าคล้ายนะแต่ร้านนี้ก็อร่อยใช้ได้เลยแหละ
กินเสร็จเราก็เดินไปตามป้ายนี้ เพื่อไปรอรถบัสสาย 30 เพื่อไป พิพิธภัณฑ์กู้กง กันลองดูซี้ที่เค้าว่าเป็น The must นี่มันเป็นยังไง