มาพบกับภาคจบของทริปย่างกุ้ง หงสา อินแขวน บล็อกที่แล้วผมได้พาไปเที่ยวย่างกุ้งชมเจดีย์ชเวดากอง และ พระธาตุอินแขวน ใครยังไม่อ่านคลิกไปอ่านตอนแรกก่อนเลย https://www.chilljourney.com/yangon-bago-goldenrock/
Day 3 : บุกเมืองหงสา
วันที่ 3 ของการเดินทางผมตื่นมาที่ตีนเขาพระธาตุอินทร์แขวนพร้อมกับความหนาวสั่น เมื่อคืนยังไม่หนาว แต่เช้านี้กลับหนาวจับใจ ผมเดินไปหยิบเสื้อหนาวมาคลุมโปงแล้วนอนต่อจนถึง 8 โมงเช้า
ผมอาบน้ำเก็บของและเช็คเอ้าออกจากโรงแรม ทานข้าวเช้าง่ายๆแถวนั้นก็ร้านเดิมหน้าโรงแรมแหละครับ
เนื่องจากโต๊ะเต็มเลยขอร่วมโต๊ะกับชาวพม่าคู่หนึ่ง
คนพม่า : “คนไทยหรือเปล่า”
อ้าวเฮ้ยพูดไทยได้ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดูเป็นมิตร
ชิล : “ครับ คนไทยพี่เคยไปทำงานที่ไทยเหรอครับ”
เราคุยกันสักพักพี่เค้าพยายามช่วยเหลือผมมาก ซึ่งผมแค่สั่งข้าวผัดอะครับพี่ไม่ต้องช่วยก็ได้ 555
กินเสร็จก็เดินไปมองๆดูท่ารถที่จอดเยอะๆ(ที่เดียวกับตอนลงรถเมื่อวานอะ) เจอคนชักชวนไปรถบริษัททัวร์เค้าก็ใจง่ายเดินไป แล้วก็เจอพี่คนพม่าที่มาทำงานไทยด้วย แต่ราคาผมเหมือนถูกฟันเลยแฮะแพงกว่าพี่เค้าเกือบสองเท่า แต่ช่างมันอย่าคิดมาก นั่งรถบัสมาประมาณ 3 ชม. มั้งก็มาถึงเมืองที่คนไทยเรียกว่าหงสา แต่ชื่อภาษาอังกฤษต้องเรียกว่า Bago หน่ะแหละ
ผมลงรถมาพร้อมกับ backpacker ชาวญี่ปุ่น เล็งแล้วไม่ผิดแน่ลุงแกต้องเหมารถเที่ยวเมืองนี้แน่นอน (จริงๆลุงแกอายุประมาณ 55 ขอเรียกลุงแล้วกัน)
ชิล : “สวัสดีครับ คุณจะเหมารถเที่ยวเมืองนี้หรือเปล่าครับ? แชร์ค่ารถกันไหมครับ”
ลุงญี่ปุ่น : “อืมเอาสิได้ๆ”
อ่านมาว่าค่าเหมารถตุ๊กๆประมาณคันละ 16,000 จั๊ต แต่ลุงแกรีบแกจะกลับรถไฟให้ทันต่อรองมาได้ 20,000 จั๊ตไปก็ไป ผมเปิดภาพให้ดูว่าผมไปตามนี้
โปรแกรมเที่ยวเมืองหงสา
- วัดพระสี่หน้า พระเจดีย์ไจปุ่น (Kyaikpun Pagoda)
- Myathalyaung Buddha (วัดพระนอนกลางแจ้ง)
- Shwethalyaung (วัดพระนอนในวัด)
- Shwemawdaw Pagoda ( พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ )
- พระราชวังบุเรงนอง
ค่าเข้า
- ค่าเที่ยวเมืองหงสาเป็นตั๋วเหมา 10$ หรือ 10,000 จั๊ต
- ไม่รวมค่ากล้องถ่ายรูป(เก็บบางที่)
หมายเหตุ : จุดพระเจดีย์ไจปุ่นในแผนที่ที่วาดไม่ตรงของจริง ผมหาใน google map ไม่เจอแต่เดาๆว่าอยู่แถวๆนั้น
พระเจดีย์ไจปุ่น (Kyaikpun Pagoda)
เนื่องจากอยู่ทางซ้ายสุดคนขับเลยพามาที่นี่ก่อน พอมาถึงก็จ่ายค่าเข้าโซนหงสาราคา 10$ ตามที่ได้อ่านมาในเน็ตแหละ และแต่ละบางวัดในพม่าก็มีเก็บค่ากล้องถ่ายรูปอีกเล็กๆน้อยๆ
วัดเจดีย์ไจ๊ปุ่น หรือ พระเจดีย์ไจปุ่น(Kyaikpun Pagoda) นั้นมีอายุนาว 500กว่าปี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์หันพระพักตร์ไปทุกทิศทาง ซึ่งก็มีตำนานที่เล่าขานกันมาดังนี้ครับ ” พระราชธิดาทั้งสี่องค์ของกษัตริย์มอญ ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา สร้างพระพุทธรูปแทนตนเองและได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ ต่อมาน้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบันครับ โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ คือ จะเป็นศิลปะแบบพม่า ถ้าเพื่อนๆลองสังเกต พระพุทธรูปองค์นี้ พระพักตร์จะเศร้ากว่าองค์อื่นครับ ”
source : http://burma-travel.blogspot.com/2014/01/KyaikpunPagoda.html
ถ่ายรูปไหว้พระกันแล้วก็ไปต่อครับทริปนี้เรารีบเพราะรถไฟจะออกตอนบ่าย 3ครึ่ง ตาลุงญี่ปุ่นคือต้องนั่งรถไฟกลับเท่านั้น! อยากมาก (รถไฟแบบบ้านเราแหละ แต่เค้ามาจากญี่ปุ่นไงตื่นเต้นจัด ) คนขับก็พามาส่งที่วัดพระนอนกลางแจ้ง องค์ใหญ่และสวยงามมากครับ แต่…กลางวันร้อนๆพร้อมเท้าเปล่า พองสิครับ! ผมเดินรององค์พระรอบหนึ่ง พอเจอลุงญี่ปุ่นแกบอกว่า เนี้ยๆวัดนี้ไม่ดังเท่าอีกวันที่เป็น indoor นะ ผมก็โอเคไปวัดดังกันดีกว่า
พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว
วัดนี้คือติดท็อปที่ยอดฮิตของคนไทยแน่นอน เพราะเดินไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงคนไทย แม่ค้าขายของก็พูดไทยได้ ฮ่าๆๆ พระนอนที่นี้ทำไมถึงฮิต ก็เพราะเค้าพูดกันว่าพระนอนที่นี่สวยที่สุดในพม่าเลยครับ
พระพุทธไสยาสน์เฉว่ตาเหลียว (พระร่วมสมัยกับปราสาทบันทายสรี ของกัมพูชา) ก็อย่างที่บอกครับว่า เป็นพระนอนที่สวยงามที่สุดในพม่า องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่าพระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจีที่ย่างกุ้งเท่าไหร่ แต่ความงามนั้นสวยงามกว่า โดยพระบาทนั้นจะวางเหลื่อมพระบาทครับ ซึ่งจะเป็นลักษณะที่ไม่เหมือนกับพระนอนของไทยเรา แต่เป็นศิลปะที่สวยงามอีกแบบที่น่าสนใจครับ พระนอนชเวตาเลียว นับเป็นพุทธบูชาศักดิ์สิทธิ์ เป็นอันดับสองรองจาก พระธาตุชเวมอดอร์ (ไจท์มุเตา) ของเมืองหงสาวดีครับ
ไหว้พระกันสักครึ่งชั่วโมงเสร็จเรียบร้อยไปต่อกันกับหนึ่งในห้ามหาบูชาสถานของพม่าครับ
เจดีย์ชเวมอดอร์ (พระธาตุมุเตา)
เจดีย์ชเวมอดอ ( เจดีย์พระธาตุมุเตา ) คือ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเมืองหงสาวดี เป็นมหาเจดีย์เก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่กลางเมืองหงสาวดี พม่าเรียกพระธาตุมุเตาว่า ‘ชเวมอดอ’ ครับซึ่ง หมายถึง มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ เป็นเจดีย์ 1 ใน 5 ของเจดีย์ชื่อดังและมีความยิ่งใหญ่ที่สุดในพม่านั่นเองครับ ด้วยความที่เป็นเจดีย์ที่โด่งดังจึงมีผู้คนแวะเวียนไปสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
พระธาตุมุเตามหาพระเจดีย์องค์ที่มีความโดดเด่นเพราะเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญ มีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดีย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่าซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจน ในส่วนบริเวณรอบๆองค์เจดีย์ ก็มีพระพุทธรูปหลายองค์ให้กราบไหว้ ซึ่งมีลักษณะศีลปะของมอญผสมกับศิลปะของพม่ามีความสวยงามดูแปลกตา มีอาคารตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมของพม่าผสมตะวันตกให้ดู นอกจากนี้ที่ด้านหนึ่งของเจดีย์ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เก็บโบราณวัตถุต่างๆให้ชม พระธาตุมุเตาแห่งนี้ได้กลายเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าที่มีผู้คนทั้งคนพม่าและคนไทยเดินทางมาสักการบูชาเป็นจำนวนมาก
พระธาตุมุเตาเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดของพม่าซึ่งมีความสูงถึง 114 เมตร ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อพระธาตุมุเตา เพราะพระธาตุมุเตาสูงจนต้องแหงนหน้าจนเมื่อยคอ ถึงจะมองเห็นยอดพระธาตุ จึงเป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าเผาจมูกจนแสบร้อน ซึ่งคำว่า จมูกร้อนในภาษามอญเรียกว่า “มุเตา” นั่นเองครับ
source : http://burma-travel.blogspot.com/2013/10/Shwemawdaw.html
นี่ครับตั๋วค่าเข้าโซนหงสา 10$ หรือ 10,000 จั๊ตเก็บไว้ให้ดีครับที่นี่ตรวจก่อนเข้าด้วยถ้าทำหายซื้อใหม่สถานเดียว
ขณะที่ผมไปกำลังบูรณะพอดีครับ ด้านบนเป็นกระดาษสีทองปิดๆไว้ แต่ไม่เสียดายครับได้มาไหว้เรียบร้อยแล้ว
เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2473 จึงทำให้ยอดของพระธาตุมุเตาหักพังลงมา แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากก็คือ เมื่อยอดพระธาตุหักลงมาแต่องค์พระธาตุนั้นไม่หักลงถึงพื้น จึงเป็นความเชื่อของประชาชนทั้งชาวพม่าและชาวไทยว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์พระธาตุแล้วได้เอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หักลงมาแล้วเอาหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่ว่าจะถึงช่วงชีวิตที่ตกต่ำยังไงเราก็ยังไม่ตกต่ำถึงที่สุดก็เปรียบเหมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกยังไงก็ตกไม่ถึงพื้นและทำให้ชีวิตของคนนั้นมีความมั่นคงถาวรนั่นเองครับ
( องค์พระธาตุของดั่งเดิมจะตั้งอยู่แบบในภาพครับ )
ไหว้เสร็จแล้วไปต่อกันกับสถานที่สุดท้ายพระรางวังบุเรงนอง(จำลอง) ที่บอกว่าจำลองเพราะว่าของจริงได้ถูกเผาทำลายไปแต่โบร่ำโบราณแล้วครับ เค้าสร้างขึ้นมาใหม่ตามคำบอกกล่าว จารึก ตามจินตนาการครับ ถามว่าสวยไหมก็ต้องบอกว่าสวยนะ แต่ที่วังจำลองนี้ให้ความรู้สึกว่า จำล๊องจำลอง ดูไม่มีความขลังความเก่าเลยครับ
. สรุปทริปเที่ยวเมืองหงสาแบบด่วนๆใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งครับ ถ้าเทียวแบบ slowlife กว่านี้ก็อาจจะขยายได้ถึง 3-4 ชม.พอดีเรารีบไปขึ้นรถไฟที่มีกำหนดออก 15:30
วิธีการกลับจากหงสาไปย่างกุ้งแบบรถสาธารณะมี 2 แบบ
- กลับโดยรถไฟ
ข้อดี : ได้บรรยากาศ ถูก แถมสถานีปลายทางยังอยู่กลางเมืองย่างกุ้งเลย ไม่ต้องต่อรถอีกรอบ
ข้อเสีย : มีรอบน้อยมาก แต่ละรอบก็ห่างกันเยอะ
2. กลับโดยรถบัส รถบัสวิ่งกันแทบทั้งวันครับกลับเมื่อไหรก็ได้ แต่ข้อเสียคือขนส่งอยู่ตอนบนของย่างกุ้ง ดังนั้นจะต้องเสียค่ารถเหมาแท็กซี่เข้ามาในเมืองอีก คันละ 8,000 จั๊ด
. รถตุ๊กๆมาส่งถึงสถานีรถไฟเมือง Bago สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือสภาพตรงด้านหน้าคือดังภาพ… คนต่อแถวยาวเหยียด ในขณะเดียวกันที่รถไฟตามกำหนดการจะออกในอีก 10 นาที งงสิครับเค้าเตอร์ก็ยังไม่เปิด คนก็รอแถวยาวเหยียด … เดินไปเดินมาถามเจ้าหน้าที่รถไฟ เค้าบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างดีเลยครับเอาพาสปอตเราไปบุ๊กที่นั่งให้เสร็จสรรพ ค่ารถไฟกลับย่างกุ้งถูกมากครับ 10 บาทไทยมั้ง คือถูกมากกกกก (สรุปว่าไม่ต้องต่อคิวเดินไปหาเจ้าหน้าที่เลยครับ)
. ตอนเรามาถึงนี่อีก 15 นาทีออกครับแต่ลุงญี่ปุ่นบอกไม่ต้องรีบมากก็ได้ ผมอ่านมาว่ารถไฟมักเลทเสมอแหละ (เหมือนบ้านผมเลยลุง!) สรุปว่ารถไฟเลทไป 40 นาทีครับ แอบถ่ายลุงมาในภาพเลยลุงอายุ 55 แล้วยังแบกเป้เที่ยวคนเดียวอยู่เลย โคตรเจ๋ง และระหว่างที่ขึ้นรถไฟลุงก็ไลน์ภาพบรรยากาศรถไฟพม่า(เหมือนรถไฟชั้น3บ้านเรา) ส่งเข้ากรุ๊ปรัวๆ ถ่ายรูปรัวๆ ตื่นเต้นมากกกกกก ผมนี่อยากบอกว่า
“ลุง … บ้านผมก็มีแบบนี้เลย ไม่ต้องตื่นเต้นมากได้ไม๊ มันช้ำ!”
พอขึ้นรถแล้วก็โกลาหนนิดหนึ่ง มีพวกเนียนไม่จองที่นั่งมาแต่จะมาเนียนนั่งที่ของพวกเรา เจ้าหน้าที่มาจัดการให้ครับ
นั่งกันชิวๆใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงถึงย่างกุ้งประมาณ 6 โมงครึ่ง จริงๆไม่ไกลแต่ผมเห็นดึกแล้วเลยโบกแท็กซี่ไปโฮสเทล นั่งเล่นหน่อยแล้วเดินมาหาอะไรกินตรง China town เหมือนเดิม อาหารยอดฮิตย่านนี้ก็จะเป็นเสียบไม้ปิ้งแบบนี้ครับ หยิบๆใส่ตะกร้าเลยเดียวเค้าก็จะเอาไปปิ้งให้ อร่อยดี
อิ่มคาวแล้ว ต่อด้วยน้ำอ้อยที่นี่คือสดจริงไรจริงเพราะคั้นกันสดๆแก้วต่อแก้วครับ เอาอ้อยใส่ลงไปในเครื่องบีบเลย ฮ่าๆๆแก้วละประมาณ 500 จั๊ต หรือ 15 บาท
หลายคนอาจจะสงสัยว่า “ย่างกุ้ง” นั้นมี “กุ้งย่าง” ไม๊บอกเลยว่ามีครับ แต่ราคาไม่ถูกนะผมว่าพอๆกับบ้านเราแหละ 1 กิโลก็ 1,200 บาทครับ
Day4 : slowlife ในย่างกุ้ง
. วันสุดท้ายของทริปวันนี้มีแผนว่าผมจะชิวๆครับตื่นสายหน่อย เดินชิวไปเรื่อยๆจากที่พักไปถึงสถานีรถไฟ แล้วก็จะนั่ง Circle train รอบเมืองย่างกุ้ง เป็นวิธีเที่ยวที่กำลังฮิตของชาวยุโรปอยู่ครับเพราะจะได้เห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิต การเดินทางของคนย่างกุ้ง ผมอ่านมาจากพี่จุ๊ครับก็เลยไปตามรอย อ่านเพิ่ม >> https://talesfromthebackpackblog.wordpress.com/2015/09/10/เที่ยวพม่าอย่างอินดี้/
พอมาถึง Yangon Central Railway ให้เดินข้ามสะพานในสถานีข้ามไปยังชานชาลาที่ 6 และ 7 เพื่อซื้อตั๋วรถไฟครับ ค่าตั๋วจำไม่ได้แต่คือถูกมากกกกก น่าจะสัก 10 บาทไทยไรเงี้ยนั่งยาวได้เลย 3 ชั่วโมง นั่งจนเบื่อไปข้าง เหมาะสำหรับคนว่างจริงๆ slowlife จริง ไม่ก็นั่งแค่ 4-5 สถานีแล้วก็นั่งกลับก็ได้ครับไม่ต้องนั่งให้ครบวงกลม ฮ่าๆๆๆ
นั่งวนรอบกลับมาถึงเย็นๆแล้วผมก็ไม่ได้ทำไร เดินไปทานร้าน 999 Shan Noodle Shop (ดูจาก google map ได้เลย) ร้านนี้อร่อยมากกกก ชานมร้านเค้าก็อร่อยครับ จากนั้นผมก็เดินชิวไปเรื่อยๆจนถึง China town กินๆอยู่แถวนั้นแล้วก็ไปสนามบิน ผมขอจบบล็อคพม่า ย่างกุ้ง-หงสา-อินแขวน แค่นี้นะครับ ทริปนี้ใช้ไป 8,000 บาทรวมทุกอย่างถือว่าไม่แพงเลยครับถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้รับ ยืนยันว่าพม่าเป็นประเทศที่น่าเที่ยวจริงๆครับ