. ทริปพม่านี้เกิดขึ้นด้วยความคิดชั่ววูบ … พม่ายกเลิกวีซ่าแล้ว ใกล้แค่นี้ทำไมเรายังไม่ได้ไปวะ ผนวกกับเหลือบไปมองปฏิทินเจอปีใหม่หยุด 4 วัน!! คิดปุ๊ปจองตั๋วปั๊บ “ตั๋วแพงมากกกกก” ถ้าบอกใครว่าไปย่างกุ้งในราคาเท่านี้คนมีแต่คนบอกว่าบ้า 555 (ปกติไม่แพงนะ นี่ปีใหม่ไง)
. จองเสร็จก็บุ๊คโฮสเทลคืนข้ามปีที่ย่างกุ้งไว้ กะไป count down ที่นั่น…หลังจากนั้นไม่ได้ทำอะไรจนผ่านไปก่อนไป 7 วันเพิ่งนึกได้ว่าต้องพม่าหนิหว่า เริ่มไฟลนก้นละ ทำแผนคือกะว่าไปเดินชิลๆในไปย่างกุ้ง 4 วัน… แต่พอคุยกับคนอื่นเค้าก็หาว่าเราบ้าอีก!! “เที่ยวย่างกุ้ง 1-2 วันก็หมดแล้วเว้ย” พี่เค้าบอกให้ไปอินแขวนด้วย เอ้าไปก็ไป
. ทีนี้มาหาข้อมูลที่พักบนอินแขวน “120 USD” อุแม่เจ้า จะแพงไปไหน แถมดูท่าว่าจะเต็มหมดแล้วด้วย เลยพยายามหาข้อมูลดูอีกเจอว่าที่ Kinpun Base Camp ( ตีนเขาก่อนขึ้นรถขนหมูไปอินแขวน ) ก็มีที่พักเยอะไปเดินหาเอาได้เลยไม่แพงเท่าข้างบน สรุปแผนจะเป็น ย่างกุ้ง-หงสา-อินแขวน
แผนเที่ยว
Day 1 : Yangon ย่างกุ้ง
Day 2 : Golden rock ( พระธาตุอินแขวน )
Day 3 : Bago ( นั่งบัสกลับจากอินแขวน แวะหงสาแล้วนั่งรถไฟกลับย่างกุ้ง )
Day 4 : Circle train Yangon ( เที่ยวชิลๆในย่างกุ้งนั่งรถไฟรอบเมือง + เก็บตก )
เช่นเคยโหลดแผนละเอียดได้ตามลิงค์นี้ครับ >> >> Click <<
งบประมาณ – 8000 บาท
- ทริปนี้ลองคำนวณเงินทุกอย่างไม่รวมตั๋วเครื่องบินใช้ไป 150 USD => 5,040 บาท ( คิดเรท 1 USD = 36 บาท )
- สำหรับเส้นทางนี้ตัวแปลหลักคือค่าตั๋วเครื่องบินครับ ถ้าใครจองโปรได้ไปกลับแถวๆ 2500 บาทหรือถูกกว่า ก็จะทำได้ในงบไม่เกิน 8000 บาท
หมายเหตุ :
- ค่ากินไม่น่าเกินงบนี้ผมกินเยอะมากและไม่ได้ประหยัดค่ากิน
- ผมนอนโฮสเทลคืนละ 8-10 US ในกรณีถ้านอนโรงแรมกลางๆในย่างกุ้ง จะตกพันต้นๆต่อคืน
ข้อควรรู้ก่อนไปพม่า
- ให้แลกเงินเป็นสกุลดอลล่าสหรัฐไปแบงค์ใหม่ๆเท่านั้น ผมไปเดือน ธค.2558 1 USD = 1300 จ๊าด ( คิดง่ายๆ 1 พันจ้าด = 30 บาท )
- ค่อยๆแลกไปเป็นช็อทๆทีละ 50-100 USD เพราะเงินพม่าเหลือเอากลับมาไทยแลกเรทกลับขาดทุนสุดๆ ( แต่คืนที่สนามบินพม่าได้…ถ้าเปิด )
- ที่พักในย่างกุ้งยิ่งวันยิ่งแพง แต่ก็ยังหาเรทพันต้นๆได้ แต่ถ้าไม่คิดมากไปนอนโฮสเทลก็ดีเลยแหละแถวๆ china town คืนละ 8-10 USD
- ที่พักบนอินแขวนแพงมากกกก 120 USD ต่อคืน ถ้าไม่ซีเรียสพักที่ base camp เถอะถูกกว่าเยอะ ไม่ต้องจองไปเดินหาได้เลย 15-20 USD
- พม่าใช้ปลั๊กแบบเดียวกับบ้านเรา ไม่ต้องขน adapter ไปเงิบเหมือนผม
- ค่าแท็กซี่ในย่างกุ้งเริ่มต้นที่ 2,000 จ้าด ( 60 บาท ) ในระยะประมาณ 2-3 กิโล มากกว่านี้หรือรถติดก็เพิ่มไป ต้องต่อรองดู
- อ้างอิงข้อข้างบน แท็กซี่ไม่แพงและมีเยอะ ไม่ต้องเหมาทั้งวัน เรียกเป็นต่อๆไปเวิคกว่า บางทีก็เดินเอาก็ได้ เหนื่อยค่อยเรียก
- ควรเอารองเท้าแตะไปด้วย เพราะเกือบทุกที่ต้องถอดรองเท้าเข้าไปเดิน ใส่ผ้าใบถอดเข้าถอดออกยุ่งยากมาก
- ถ้าให้ดีเอารองเท้าแตะบ้านๆไปเพราะบางที่ก็ไม่มีที่ฝากรองเท้าดีๆ ถอดไว้มีโอกาสหาย ( ผมหิ้วรองเท้าผมไปด้วยเลย )
- คนพม่านิสัยดีกว่าที่คิดมากกกกกกก ค่อนข้างน่ารักเลยแหละ ( ภาพในหัวคือน่ากลัว พม่าเกลียดคนไทย ซึ่งมันไม่ใช่เลย !! )
- อย่านินทาภาษาไทย คนพม่าพูดไทยได้เยอะมาก !!
- อาหารพม่าอร่อยใช้ได้ แต่ขึ้นชื่อเรื่อง “ความมัน” น้ำมันจะเยอะไปไหน
- (18+) เบียร์ Myanmar อร่อยดี
Internet
. มาเรื่องเน็ต ยุคนี้ขาดไปเหมือนขาดใจ พม่าปัจจุบันเค้ากำลังพัฒนา 3G กันอย่างแข็งขันเลยครับ สัญญาณเน็ตถ้าจับได้จะค่อนข้างแรงมาก แต่มีปัญหาเรื่องความครอบคลุมแต่ละค่ายยังไม่ครอบคลุมมากเพียงพอครับ
. ทริปนี้ผมใช้งานผ่าน Dtac data roaming ซึ่งข้อดีของ Dtac non-stop data roaming นี้คือไม่ต้องกังวลเรื่องเครือข่าย เชื่อมติดกับชื่อสัญญาณไหนก็เล่นได้เลย ดังนั้นมันแจ่มมากๆเพราะช่วยลดความกังวลใน coverage ( ความครอบคลุม ) ที่หลายๆค่ายในพม่าดีบ้างแย่บ้างได้ดี ทำให้เราเล่นได้ตลอดทาง ในเส้นทาง ย่างกุ้ง-หงสา-อินแขวน นี้สัญญาณดีตลอดครับ มีตรงแถวๆ base camp อินแขวนครับ ที่ยังไม่ครอบคลุม
. พอดีผมเพิ่งรู้เลยอยากบอกเพิ่ม … ถ้าใครยังไม่มั่นใจว่าจะใช้งานรึเปล่า สามารถโทรบอกที่ call center ให้สมัคร package non stop data roaming ให้เราก่อนได้เลยในราคาเบาๆ เหมาจ่าย 450 บาท ต่อวัน ไม่ใช้ก็ไม่เสียเงินใดๆเลยครับ ไม่ต้องกลัวเน็ตรั่ว ( บางคนกะเอาไว้ใช้ตอนฉุกเฉินเท่านั้นใช้วิธีนี้ได้ ) แต่ต้องระวังในโทรศัพท์ smart phone บางรุ่นที่เน็ตมันจะไหลตลอด เราสามารถที่จะหยุด data ไว้ก่อนได้ ที่โทร *124*3# และโทรออก และเมื่อต้องการใช้ก็โทร *124*4# ก็สามารถกลับมาใช้ได้เลยครับ
ดูข้อมูลเพิ่มเติม >> http://www.dtac.co.th/postpaid/services/roaming-15-countries.html
Day 1 : เที่ยวชิลในย่างกุ้ง
. วันแรกแพลนคือจะเที่ยวให้ครบสถานที่หลักในย่างกุ้งเท่าที่พอเก็บได้ มาถึงสนามบินแล้วให้รีบนั่งแท็กซี่เอาของไปเก็บที่พักเลย ค่าแท็กซี่ถ้าเรียกเค้าเตอร์สนามบินเลยจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 จ๊าด แต่อ่านๆมาว่าเค้าได้กันที่ 7-8000 จ๊าด ( ตอนเรียกขากลับไปสนามบินผมได้มา 7500 จ๊าด )
หมายเหตุ : มีวิธีเข้าเมืองด้วยรถบัสด้วย แต่ค่อนข้างหลายต่อและรถบัสพม่าสภาพคล้ายๆกะรถเมล์บ้านเรา รวมกับรถติดโคตรๆนั่งฉิ่งฉับไม่แนะนำเลยครับเพราะเสียเวลาเที่ยวมาก ( แต่ถ้าอยาก slowlife เข้า google โลดมีคนเขียนไว้บ้างแล้ว )
ใช้เวลานั่งประมาณ 40-60 นาทีจากสนามบินก็จะมาถึงที่พัก … ที่พักผมจองชื่อ Four River hostel ครับเป็นโฮสเทลที่ดีมากๆ สะอาด นอนสบาย ทำเลดี พนักงานให้คำแนะนำดีมากๆ (ให้ 10/10 เลย ) พอเอากระเป๋าเก็บแล้วเจอป้ายตารางรถบัสที่โฮสเทลพอดี เลยให้พนักงานจองตั๋วรถไปอินแขวนให้ในราคา 7,000 จ๊าดพรุ่งนี้รอบ 8:30
หมายเหตุ : รถไปอินแขวนมีรอบ 5:00 , 6:00 ด้วยแต่คืนนี้ countdown ไงกว่าจะกลับห้องคงดึกมากๆ คงตื่นไม่ไหวเอารอบ 8:30 ละกัน
ย่างกุ้งเป็นเมืองไม่ใหญ่นักเพียงแค่ 1 วันเราก็จะสามารถเก็บสถานที่ยอดฮิตทั้งหลายได้หมดแล้วครับ ก่อนเที่ยวมาดูแผนผมที่คิดเองผสมกับขอคำแนะนำพนักงานในโฮสเทลคิดออกมาได้แบบนี้ … ผมว่าแผนผมโอเคมากนะ เอาไปลอกได้เลย
- เริ่มต้นจากโฮสเทล Four river , Agga guest house ( ผมพัก 2 โฮสเทลแต่ four river ดีกว่าเยอะ)
- เดินไปวัดจีน Kheng Hock Keong Temple ( วัดจีนที่ใหญ่สุดในย่างกุ้ง )
- เดินไป Sule Pagoda ( นั่งแท็กซี่เอาก็ได้ พอดีผมชอบเดิน )
- ไปวัด Botahtaung Pagoda ( พระธาตุ/เทพทันใจ/เทพกระซิบ )
- ตลาด Bogyoke market ตลาดช็อปของฝากชื่อดัง
- Reclining Buddha วัดพระตาหวาน + ใกล้กันมีอีกวัดดัง Nga Htat Gyi Pagoda
- ปิดท้ายวันด้วยพระเจดีย์ชเวดากอง แล้วกลับมากินข้าวแถว china town ใกล้ๆที่พัก
. จากโฮสเทลผมออกเดินไปตามทางมุ่งหน้าสู่วัดจีน Kheng Hock Keong Temple ที่ผมชอบเดินเพราะการเดินมันทำให้เราได้ดูวิถีชีวิตของคน เราได้สังเกตุสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ถ้าเรานั่งรถผ่านด้วยความรวดเร็วเราจะไม่ได้สัมผัส และที่สำคัญ… มันไม่เสียเงิน
เดินมองโน้นนี่ไปเรื่อยยังไม่ทันไรก็มาถึง Kheng Hock Keong Temple วัดเคงฮกเก็ง แล้ววัดนี้เป็นวัดสไตล์จีนใหญ่สุดในย่างกุ้ง มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ด้วยครับ
. จริงๆตัววัดก็ไม่ได้มีอะไรประทับใจมากขนาดว่าต้องห้ามพลาดครับ ขนาดที่ว่าใหญ่ก็น่าจะสักประมาณวันเล้งเน่งยี่บ้านเราเท่านั้นเอง แต่การมาไหว้พระใกล้ที่พักก่อนเริ่มทริปเป็นทางเลือกที่โอเคนะ ผมออกเดินเท้าต่อไปวัด Sule Pagoda กันระหว่างทางผมได้เห็น การขายหมาก ซึ่งยังเป็นที่นิยมในพม่าอยู่มากครับ ไปที่ไหนก็เจอคนเคี้ยวหมาก
เดินมาเรื่อยๆมองผู้คนระหว่างทางไปเรื่อยๆ ยังไม่ถึงกับหอบก็มาถึง Sule Pagoda แล้วหล่ะ ก่อนอื่นมาอ่านกันก่อนทำไมที่นี่ถึงสำคัญ
เจดีย์สุเล เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม สีทองอร่าม (Sule Pagoda) ณ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า หรือที่เรียกกันว่า สุเลพญา (Sule Paya) ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถนนสายหลักทุกสายพุ่งเข้าหาเจดีย์นี้ นั่นเพราะว่าในสมัยที่อังกฤษครองพม่า ได้วางผังเมืองแบบ Victorian grid-plan โดยยึด เจดีย์สุเล เป็นศูนย์กลาง ถ้าไปดูแผนที่ตัวเมืองย่างกุ้ง จะเห็นว่าถนนตัดกันเป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมแล้วมีเจดีย์สุเลอยู่ตรงกลาง
เสียค่าเข้า 2 USD ครับ
องค์เจดีย์กำลังบูรณะน่าเสียดายเล็กๆ และเดินเล่นๆชมอยู่ก็เจอคนพม่าบอกว่า “คนไทยรึเปล่า” องค์นี้คือ เทพทันใจ version 1 คล้ายๆกับ เทพทันใจ อีกที่แหละ ขอพรได้ข้อเดียวนะแล้วจะสมหวัง ( มีงี้ด้วยแฮะ )
ใช้เวลาเดินจนรอบๆสัก 45 นาทีก็ไปต่อครับ ที่เจดีย์ Sule ผมเจอพี่ๆคนไทยไปเส้นทางเดียวกันพอดี เลยขอหารค่ารถไปด้วย เราข้ามถนนพอเจอแท็กซี่ก็ขึ้นเลย แต่ลืมต่อ… เค้าคิด 3,000 จ๊าดในการไป Botahtaung Pagoda ( ปกติน่าจะสัก 2000 เองนะ )
นั่งสิบนาทีก็ถึงแล้วครับ ภาพนี้ผมหันหลังให้กับ Botahtaung Pagoda , จากภาพนี้ทางขวามือจะเป็นที่ฝากรองเท้า ฝั่งตรงข้ามข้างในจะมีเทพกระซิบ ทางซ้ายมือภาพนี้จะเป็นที่ซื้อตั๋วเข้า คนละ 3 USD ครับ
ซื้อตั๋วแล้วก็เดินเข้าไปชมพระธาตุกัน ระหว่างทางเข้าสองข้างทางผนังเป็นทองทั้งหมดเหลืองอร่าม อเมซิ่งมากๆ จริงๆไม่ลึกเลยเดินสัก 10-15 ก้าวก็จะถึง จะเริ่มมองเห็นที่คนแน่นๆต่อคิวชมพระธาตุกันอยู่
จากภาพข้างบนจะมีช่องเล็กๆให้เรามองเข้าไปได้ หลายคนก็หยอดเงินลงไป ภาพด้านล่างนี้ผมยื่นกล้องเข้าไปถ่ายมาครับประมาณนี้ ด้วยมารยาทแล้วควรจะรีบถ่ายรีบออกนะครับ เพราะคนรอคิวหลังเราอีกเยอะเลย
จากนั้นก็เดินรอบเจดีย์ภายในครับ ข้างผนังเป็นทองทั้งหมด ผมได้สังเกตุเห็นชาวพม่าสองสามคนมาศักการะกันแบบนี้ครับ เค้าจะนั่งหันเข้ามุมนั่งนิ่งๆสงบไหว้พระธาตุกัน ( หลังมุมนั้นก็คือพระธาตุไงครับ )
ออกมาด้านนอกก็จะคล้ายๆวัดอื่นๆในพม่าครับ เดินวนสักรอบหนึ่งแล้วไปหาเทพทันใจดีกว่า
เทพทันใจ จะอยู่ทางซ้ายมือของวัดครับ วิธีการศักการะให้เราพับแบงค์ให้แหลมๆซ้อนกัน 2 ใบ ( เดียวมีคนช่วยไม่ต้องกังวล ) แล้วเสียบไว้ที่ช่องนิ้วของเทพ จากนั้นเอาหน้าผากเราไปชนกับนิ้วแล้วอธิฐาน อธิฐานได้แค่ข้อเดียวเท่านั้นนะ พอเสร็จแล้วให้หยิบแบงค์กลับมาเก็บไว้ใบหนึ่งครับ
เสร็จแล้วให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามวัด Botahtaung Pagoda ก็จะเจอตำหนัก เทพกระซิบ ซึ่งวิถีการอธิฐานคือให้เรากระซิบข้างๆหูนั้นแหละครับ โดยเครื่องเส้นที่ท่านชอบก็จะเป็น นม และ ข้าวตอก ( มีขายตรงนั้น )
. ตอนนี้ก็สักเที่ยงแล้วครับ เลยไปเดินเล่นและหาอะไรทานแถว Bogyoke Market หรือบางคนก็เรียกว่าตลาดสก๊อต ที่นี่ก็จะมีของขาย ของฝากเยอะเลยครับ มีเครื่องเพชร เครื่องพลอย พระไม้แกะสลัก เสื้อผ้า ให้อารมณ์จตุจักรแต่สะอาดสะอ้าด และเป็นระเบียบกว่า
. แถวนี้ก็จะมีร้านอาหารหลายร้านครับ ทั้งอาหารพม่า อาหารฝรั่ง แก๊งพี่คนไทยที่ผมเจอเค้าเที่ยววันนี้สุดท้ายละ กินอาหารพม่ามาหลายวัน คงอยากกินอาหารฝรั่งบ้างผมก็ไม่ขัดศรัทธา เข้าใจเลยเวลาไปกินอาหารแปลกๆมาหลายๆวันหน้ามืดครับอยากกินอะไรอร่อยๆบ้าง 555 มื้อนี้ผมกิน ข้าวผัด+ไก่ย่าง+โค๊ก ในราคา 5,000 จ๊าด ( อาหารปกติประมาณมื้อละ 2,000 จ้าด )
. นั่งแท็กซี่มาต่อที่วัด พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี (KYAUK HTAT GYI) หรือ พระตาหวาน ค่ารถแท็กซี่จากตลาดมา 3000 จ๊าดครับ องค์พระใหญ่มากกกกกก ดูจากภาพในเน็ตก่อนมาคิดว่าธรรมดาๆคิดว่าไซส์ประมาณพระนอนวัดโพธิ์ แต่พอเห็นแล้วใหญ่มากกกๆๆ (ลองเทียบสเกลคนดูครับ) ดอกไม้ในมือผมขายเป็นเซ็ทในราคา 1000 จ๊าด ( บอกอีกรอบ 1000 จ๊าดประมาณ 30 บาท จะได้คิดง่ายๆ )
พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดของประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม ดวงตาของท่านเป็นแก้ว สั่งผลิตมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะรวมไปถึงพระจีวรที่มีความพริ้วไหวสมจริงและเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ
ใกล้กับวัดพระตาหวาน จะมีวัดชื่อ Nga Htat Gyi Pagoda อีกวัดสามารถเดินไปได้ประมาณ 600 เมตรครับ วัดนี้จะมีไหว้หลวงพ่อที่สูงเท่าตึก 5 ชั้นเลยครับ สวยงามและยิ่งใหญ่มากๆ
เดินกลับจากวัดที่อยู่บนเนินลงมาที่ถนน เรียกนั่งแท็กซี่ต่อไปชเวดากองครับ แท็กซี่คิดแค่ 2,000 จ๊าดเอง ทำให้เรารู้ว่าคันแรกที่เรานั่งอะแพ๊งแพง 555 แท็กซี่มาส่งเราตรงนี้ครับจุดสังเกตุคือจะมีลิฟท์ขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ ด้านหลังเห็นชเวดากองเด่นอยู่ลิบๆมาไม่ผิดแน่ เดินเข้าไปตรงด้านล่างลิฟท์สำหรับนักท่องเที่ยวจะเสียค่าเข้า 7,000 จ๊าดครับ ราคานี้รวมค่าขึ้นลิฟท์ไปแล้ว
ขึ้นลิฟท์มาแป๊ปเดียวเดินต่อมาสักพักก็จะเริ่มพบกับ “ความอลังการงานสร้าง” องค์เจดีย์ใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะมาก มากๆครับ เอาเป็นว่าแค่เดินรอบ 1 รอบก็เหนื่อยแล้วหน่ะครับ
มหาเจดีย์ชเวดากอง : เล่าว่าพระมหากษัตริย์มอญคือพระเจ้าโอกะลาปะ ทรงเลื่อมใสในศรัทธาพระพุทธศาสนา ได้ทรางก่อสร้างองค์พระเจดีย์ชเวดากองขึ้นมาเมื่อกว่า 2000 ปี ก่อน ต่อมาพระมหากษัตริย์มอญและพม่าแทบทุกพระองค์ได้ถือเป็นพระราชภารกิจในการก่อเสริมองค์พระเจดีย์ให้สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสูงถึง 326 ฟุต กว้าง 1355 ฟุตในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสมัยพระนางซินสอบู หรือนางพระยาตะละแม่ท้าวเจ้า กษัตรีมอญผู้ครองเมืองหงสาวดี ได้ทรงริเริ่มธรรมเนียมบริจาคทองคำเท่าน้ำหนักพระองค์เองในการบูรณะพระมหาเจดีย์ นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.1996 (ตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมไตยโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา) จนกลายเป็นพระราชพิธีที่ปฎิบัติสืบต่อกันมา
ตอนที่เราซื้อตั๋วเราก็จะได้แผนที่และข้อมูลชเวดากองมาด้วย 1 แผ่นพับครับ ภายในมีข้อมูลพอสมควรเดินได้ไม่หลงเลย แนะนำให้มาชเวดากองเป็นที่สุดท้ายของวันครับ เพราะจะได้เข้าเชดากองตอนเย็นๆอากาศไม่ร้อน และ ได้ชมพระอาทิตย์ตก ยาวไปจนถึงเปิดไฟยิงใส่องค์เจดีย์สวยมากๆครับ ประทับใจสุดๆ
มีมุมหนึ่งที่มีกล้องส่องทางไกล ให้เรามองไปยังยอดสุดของเจดีย์ที่จะเป็นเพชรเม็ดโตอยู่บนนั้น … แต่ส่องแล้วก็มัวๆพอเห็นลางๆ
. รอบองค์พระธาตุจะมีพระประจำวันเกิดให้สรงน้ำครับ เท่าที่อ่านจากเว็บไทยบอกว่าให้สรง 3 ขันทั้งองค์พระ พระด้านล่าง และ ด้านหลัง แต่เท่าที่ผมยืนมองคนพม่าเค้าสรงตั้ง 6 ขั้นและดูจากการสรงเหมือนมีลำดับการทรงด้วย … ส่วนผมมาแบบไร้ไกด์ก็ทรงไปตามศรัทธาครับ ใจเราตั้งใจก็พอแล้วผมคิดง่ายๆเงี้ยแหละครับ
. แนะนำสำหรับคนที่เดินไม่อึด ให้ดูแผนที่ก่อนเดินไปหาพระประจำวันเกิดตัวเอง ที่บอกไปว่าพื้นที่ค่อนข้างกว้างมากผมเดินวนๆไปวนมาสองรอบกว่าจะเจอ รอบแรกนี่เดินเกือบถึงแล้ววนกลับไปอีกด้านสะงั้น เล่นเอาหอบเลย 555
. ผมอยู่ชเวดากอง จนถึงค่ำอยู่เสพความงามจนฟ้ามืด ผมนั่งแท็กซี่กลับไปที่พักในราคา 2,000 จ๊าด และจากที่พักเดินไปกินข้าว street food แถว China town มีของกินเยอะแยะมากมาย อร่อยๆทั้งนั้น กินเสร็จเหลือเวลาอีก 4 ชั่วโมงก่อนเที่ยงคืนงีบเอาแรงสักพักและออกไปบาร์ตรงแถวซอย 20 เป็นบาร์เล็กๆครับพนักงานโฮสเทลแนะนำมา ที่พม่าเค้าไม่มีจุดพลุฉลองอะไรแบบเมืองใหญ่ๆและบ้านเรา
. เจอคนพม่าถามว่าทำไมมาเค้าดาวที่นี่หล่ะ คนพม่าเค้าไปเค้าดาวกรุงเทพกัน เออ… ผมก็ว่างั้น 555+
Day 2 : ผจญภัยในอินแขวน
. ด้วยกำหนดนัดรถบัสเที่ยว 8:30 ที่ผมจองไว้และระยะเวลาจากเมืองไปสถานี ( Aung Mingalar Highway Bus Station )ที่อยู่นอกเมือง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง บวกกับเผื่อเวลารถติด ทำให้ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่งและรีบออกไปโบกแท็กซี่ตอน 6 โมง คุยมาได้ในราคา 8,000 จ๊าดครับ
. ระหว่างทางผมก็ใช้ Dtac data roaming เปิด google map ดูเรื่อยๆเพราะวิ่งออกไปค่อนข้างไกล ดูว่าแท็กซี่พาเราไปถูกทิศถูกทางไม๊ พอได้ดูว่าวิ่งไปตามเส้นทางก็สบายใจแล้วครับ แท็กซี่คันนี้ใจดีเข้าไปส่งถึงหน้าท่ารถบัสเจ้าที่เราจองเลย ( มีค่าเข้าขนส่งประมาณ 200 จ๊าด คนขับไม่ได้โกงอะไรนะ ) จริงๆการที่ผมไปอินเดียมาก็ทำให้ผมเริ่มไม่ไว้ใจคนอื่นเกินไป คนพม่าที่ผมเจอนิสัยดีเลยครับ ค่อนข้างซื่อสัตย์ไม่ค่อยเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ( ก็เจอบ้างแต่น้อยมากๆๆๆๆ ) ก็ไม่รู้นะครับว่าเปิดประเทศและอะไรเข้ามาไวๆจะเปลี่ยนไปแค่ไหน
. พอถึงหน้าท่ารถบัสเจ้าที่จองมา ผมก็ยื่นบัตรจองให้พนักงาน เค้าก็จะให้บัตรจริงมาครับ ตรงท่ารถบัสนี้ก็มีอาหารข้างทางขายแต่ผมไม่กล้าทาน กลัวท้องเสียเลยเข้าร้านอาหารตามสั่ง เอาง่ายสุดๆก็ข้าวผัด ก็อร่อยดีครับจานนี้ 2,000 จ๊าด
. กินเสร็จคนก็เริ่มขึ้นรถกันแล้วครับ นี่คือบรรยากาศภายในรถที่ผมต้องนั่งอีก 5 ชั่วโมงประมาณนี้ ค่อนข้างโอเค นั่งสบายใช้ได้ครับ แอร์ก็พอไหวไม่ถึงกับเย็นแต่ก็ไม่ร้อนจนทำให้รู้สึกอึดอัด
. นั่งมาสัก 3 ชั่วโมงมีแวะทานข้าวด้วยครับ รถบัสจะมาจอดหน้าร้านอาหารบ้านๆร้านหนึ่ง คนก็จะลงไปทานข้าวกันแต่ผมอิ่มแล้วก็เดินเล่ยถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย เจอเด็กพม่ากำลังทำการบ้านอยู่ ผมยกกล้องทำท่าขอถ่ายรูปน้องก็รู้งาน ชูสองนิ้วขึ้นมาเลยจ้า ^^
. นั่งต่อยาวมาเลยครับถึงประมาณ บ่ายโมงครึ่ง รถจะมาจอดที่ Kinpun base camp สถานีสุดท้ายก่อนขึ้นรถขนหมูไปพระธาตุอินแขวนครับ ( สุดทางแล้วทุกคนก็ลงหมดหน่ะ ) ระหว่างเรากำลังมึนๆน้องเด็กรถเหมือนรู้แกว
เด็กรถ : “จองที่พักไว้ยังครับ”
ผม : “ยังครับ … มีแนะนำไหม เอาถูกๆ”
เด็กรถ : “มาๆตามผมมาครับ”
. ก็เดินตรงตามน้องไปนิดเดียวมากๆก็ถึง เป็นของ Sea sar hotel (ติดกับสถานีรถขนหมูเลย) ห้องพักที่นี่มีตั้งแต่เป็นห้องเดี่ยวพัดลม 8 USD , ห้องคู่ พัดลม/แอร์ มีหลายราคาครับ ตีไปกลมๆหารแล้วคนละ 10 USD ก็ถือว่ายังถูกกว่าการพักข้างบนอินแขวนเยอะมากๆ
ทำไมคนชอบไปพักด้านบน?
. ชาวพม่ามีความเชื่อกันว่า ในชีวิตหนึ่งต้องเดินทางมาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนแห่งนี้ให้ได้อย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ชาวไทยที่ตั้งใจจะทำ มักจะพักด้านบน และใช้วิธีการไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวนให้ได้ 3 เวลา เช่น กลางวัน ค่ำ และเช้าวันถัดไป ซึ่งนับเป็น 3 เวลาครับ ก็ลองชั่งใจดูแล้วกันพักข้างบนบรรยากาศดีดูพระธาตุได้สวยงามหลายเวลา แต่ก็ต้องแลกกับงบประมาณครับ
. ก่อนขึ้นอินแขวน ผมมาฝากท้องกับร้านข้าวแถวนี้ก่อน คิดเอาเองว่าข้างบนน่าจะแพงกว่าแน่ๆ สั่งกับข้าวมาสองอย่าง+ข้าว พวกเครื่องเคียงนี่เยอะมากเลยครับ เป็นมาตรฐานอาหารพม่า มีน้ำพริก มีซุป ให้ แต่ผมเป็นคนไม่ทานน้ำพริก ฮ่าๆๆๆกลายเป็นว่าสั่งเป็นกับข้าวนี่แพงกว่าสั่งแบบข้าวผัดอีกครับ ( กับข้าวจานละ 1500 จ๊าด ข้าว 300 จ๊าด = มื้อนี้ 3,300 จ๊าด ) ต่อๆไปผมเลยสั่งแบบอาหารจานเดียวแทนจานเดียวเช่นข้าวผัด หมี่ผัด 2000 จ๊าดเอง
. เดินมาไม่ถึง 100 เมตรก็ถึงท่ารถขนหมูละครับ รถขนหมูนี่เป็นชื่อเรียกความแออัดละมั้ง จริงๆแล้วมันจะเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กแบบนี้ครับ ด้านหลังจะซอยที่นั่งออกเป็น 9 แถว แต่ละแถวบรรจุแน่นจำนวน 6 คน ถ้ารถไม่เต็มไม่ออก
. ไม่ต้องหวังนะครับว่าจะได้นั่งสบายๆเค้าจัดจนได้แถวละ 6 คนแหละ 555+ บรรยากาศการนั่งสนุกพอสมควรฮ่าๆๆ แต่ถ้าใครเคยไปเขาคิชกุฏมาแล้ว ผมว่ารถที่นี่และทางดูปลอดภัยกว่าอีกครับ
. ใช้เวลานั่งมันส์ๆเสียวๆประมาณ 40 นาทีก็จะมาถึงข้างบนละ จากนี้ต้องเดินต่ออีกประมาณ 3 กิโลเมตรกว่าจะถึงตัวพระธาตุอินแขวน ซึ่งใครอายุมากแล้วไม่ต้องกังวล เค้ามีเสลี่ยงแบกครับ ( ราคาน่าจะ 1000 บาทขึ้นไปนะ ) ส่วนผมเดินแน่นอน ระหว่างทางจะมีอะไรดูตลอดทางครับไม่เหนื่อยเลยครับ ค่อยๆเดินชิวๆเดียวก็ถึง
หมายเหตุ : ( cr. http://www.oceansmile.com/Phama/PratadInkwanRode.htm )
จุดเดินเท้าหรือจุดที่นั่งเสลี่ยง ค่านั่งเสลี่ยงก็ประมาณ 700-800.-บาท แต่ ปัญหาของการนั่งเสลี่ยงก็มีบ่อยครับ
.
.
คือว่าระหว่างทางที่นั่งเสลี่ยง คนหามก็พยายามให้เราซื้อโค้กให้ โดยบอกว่าหิวน้ำบ้าง ถ้าเราไม่ซื้อก็แกล้งเดินแบบเหวี่ยงๆให้หวาดเสียวหน่อย แต่พอเราซื้อให้ก็ต้องซื้อให้ทั้ง 4 คน ราคาประมาณกระป๋องละ 50 บาท แล้วเขาก็จะเอามาแลกคืนที่ร้านค้าที่เขาซื้อนั่นแหละ พอขึ้นไปถึงข้างบนก็จะขอทิปอีก ถ้าไม่ให้ก็ไม่ยอมไป แบบว่าต้องเอาให้ได้ 🙁
. สำหรับใครขนของมาเยอะแบกไม่ไหว ที่นี่ก็จะมี “ลูกหาบ” เช่นเดียวกัน เค้าจะแบกใส่ตะกร้าสานทรงสูง ไม่รู้เหมือนกันว่ามัน support หลังยังไงแต่เค้าแบกกันไหว เก่งมากๆ
. ส่วนภาพล่างนี้ “แม่หาบ” หลังจากจุดที่มีคล้ายๆสิงฆ์ตัวโตสองตัวนี้จะใส่รองเท้าไม่ได้แล้วครับ ให้หาถุงพลาสติกมาใส่รองเท้าเอาไปด้วยกันหาย ( เสียค่าเข้าโซนนี้ 7,000 จ๊าดครับ )
. เดินต่อมาจากซุ้มประตูไม่ไกลก็เจอพระธาตุองค์เล็กครับ ซึ่งในตำนานบอกว่า เคยเป็นเรือที่นำก้อนหินองค์จริงมา และตรงจุดนี้จะมีจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นพระธาตุองค์จริงจากไกลๆด้วย ( ดูมุมซ้าย เห็นองค์จริงไหม ?? )
. ไปครับไปเดินต่อ วันนี้ฟ้าใสสีสวย อากาศบนเขาก็ดีเดินไม่ร้อนเลยครับ ค่อยๆเดินไปชิวๆดูสองข้างทาง เราจะเห็นคนพม่ามาตั้งเต้นท์กันเต็มไปหมดตลอดสองข้างทาง ก่อนมาผมคิดว่าถ้าเราไม่นอนโรงแรมจะมานอนข้างบนแบบคนพม่า จะได้ไม๊?
. คิดว่ายากนะครับเค้าจับจองกันหมดแล้ว อีกอย่างอากาศข้างบนก็หนาวมากๆ ถ้าไม่จองโรงแรมข้างบนก็ไปนอนข้างล่างหน่ะดีแล้วครับ
. พอเดินมาได้ครึ่งทางก็เจอมุมถ่ายรูปครับ ระหว่างทางจะมีมุมอะไรแบบนี้เรื่อยๆให้เรายืนพัก ไม่เหนื่อยจริงๆนะ เดินไหวก็เดินเถอะ สบายใจ สบายกระเป๋าด้วยนะ
. ถึงจนได้ องค์อินแขวน สวยงามมากๆ อินแขวนรู้จักกันในชื่อ Golden rock หินสีทองอร่ามเลย สุดยอดพลังศรัทธา ยิ่งเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งคึกคัก ที่น่าแปลกใจคือคนพม่าเยอะมากๆๆ เยอะกว่านักท่องเที่ยวเยอะเลยครับ เค้ามาด้วยแรงศรัทธาจริงๆ ตอนขากลับผมเจอคนพม่าที่พูดไทยได้เค้ามาอยู่ข้างบนตั้ง 5 วันแหนะ
. ที่บ้านฝากให้แปะทองคำเปลวเผื่อด้วย ก็เลยเดินไปซื้อมา ค่าทองเปลว 1800 จ๊าดแหนะ มีแค่ 3 แผ่นเอง(แต่ดูเป็นทองคุณภาพดี) ตรงที่เข้าไปแปะทองจะมีคนตรวจ ห้ามเอาอุปกรณ์ใดๆเข้าไปเลยครับ ทั้งมือถือ กระเป๋าตัง ใดๆทั้งสิ้นและอนุญาติให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ถ้าใครมาแบบหญิงล้วนคงต้องรบกวนใครแถวๆนั้นช่วยเข้าไปปิดให้นะ
. เสร็จสิ้นภารกิจแปะทองแล้วก็เดินเล่นแถวพระธาตุชมความงาม ชมผู้คนพม่า ผมได้เห็นถึงพลังศรัทธาที่แรงกล้าจริงๆ ผมเดินมั่วๆต่อมาข้างหลังจะเป็นหมู่บ้านของคนที่อาศัยอยู่บนนี้ครับ มองลงไประหว่างทางก็จะมีร้านขายของเยอะแยะ
. เส้นทางสามารถเดินไปได้ไกลมาก มองไปสุดๆลิปๆเป็นจุดชมวิวด้วยครับ แต่ผมดูเวลาแล้วน่าจะเดินกลับมาดูพระอาทิตย์ตกที่อินแขวนไม่ทันเลยไม่ได้เดินต่อ ผมย้อนกลับไปที่อินแขวนอีกรอบเพื่อหามุมที่ใช่ในการถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก
. เอาหล่ะครับได้เวลาที่ผมรอคอยแล้ว ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกกับพระธาตุอินแขวน แสงสีทองค่อยๆสาดมายังพระธาตุ ฟ้าค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เรื่อยๆจนแสงเริ่มมืดลง สวยมากๆครับลองดูภาพไล่ลำดับภาพไปเลย สุดๆจริง
. รถขนหมูรอบสุดท้ายที่ผมถามมาคือ 6 โมงเย็น ขณะพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า และ แสงไฟกำลังส่องเข้าพระธาตุ ผมมองนาฬิกาด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ชมช่วง Twilight … ประสบการณ์สอนให้ผมตัดใจได้ในทันที “เราได้มาเห็นขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
. ผมรีบใส่ตีนผีวิ่งไปขึ้นรถขนหมู ณ เวลา 5 โมง 40 รถรอจนคนเต็ม แล้วออกวิ่งลัดเลาะไปตามไหล่เขากลับสู่ Kinpun base camp ถึงในเวลาฟ้ามืด ผมทานข้าวแถวนั้นแล้วมานั่งคุยกับเพื่อนชาวเช็กที่พักที่เดียวกัน เม้ามอยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันตามประสา backpacker และเข้านอน พรุ่งนี้แพลนคือตื่นสายๆกินข้าวแล้วนั่งบัสไปแวะหงสา ก่อนกลับไปย่างกุ้ง
. 2 วันนี้ผมประทับใจจริงๆที่ได้มาชมพระธาตุอินแขวน และ เจดีย์ชเวดากองด้วยตาของผมเอง เพียงแค่ 2 วันผมก็มีเรื่องเล่าเยอะมากๆเลยแฮะ ไว้ตอนหน้าผมจะมาเล่าเรื่องของ 2 วันที่เหลือใน เมืองหงสา และ การนั่งรถไฟ circle train รอบย่างกุ้งอย่างอินดี้ที่กำลังฮิตในหมู่ของนักท่องเที่ยวตะวันตก อย่าลืมติดต่อตามตอนหน้าครับ
ขอบคุณ Dtac data roaming สำหรับเน็ตแรงๆไม่ต้องเลือกเครือข่ายในพม่าด้วยครับ