ทริปนี้ก็จะพาทุกคนไปเที่ยว Yosemite กันแบบสบายๆ 3 วัน 2 คืน ไปชมวิวจุดฮิต นอนเต้นท์เกร๋ๆในอุทยานที่เจ้าหน้าที่บอกให้ระวังหมีมาทุบเต้นท์! เดินเทรลเบาๆพอกรุบกริบ การเดินทาง 16 ชั่วโมงในเครื่องบินข้ามทวีป และการขับรถอีก 2000 KM กว่าจะได้เจอกัน ภาพฉาก Yosemite National Park ใน Macbook อันนี้ทำให้เราตัดสินใจบรรจุอุทยานแห่งชาตินี้เข้าไปเป็นจุดแรกตั้งแต่แรกเริ่ม
นอกจากตั๋วเครื่องบินและสติที่ต้องมีแล้ว ประกันเดินทางคือตัวช่วยสำคัญของเราในทริปนี้ ด้วยการเดินทางหลายต่อ ทั้งเครื่องบิน 3 ขากว่าจะถึง ต่อรถบัสข้ามประเทศ รวมทั้งการขับรถอีกกว่า 2000 กิโลเมตรในเส้นทางที่ไม่คุ้น ถนนที่ไม่รู้จัก และยังไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างการเดินทาง จะป่วยไหม จะซวยขับรถชนอะไรหรือเปล่า การมีประกันเดินทางที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายและไม่ต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อนเมื่อต้องเข้าโรงพยาบาล คือสิ่งที่ช่วยรับความเสี่ยงตรงนี้ก็เบาใจ
ก็เอาเป็นว่าขายของกันตรงๆให้สปอนเซอร์เลยแล้วกัน ชิวใช้ประกันเดินทางของทิพย์ประกันภัย ส่วนตัวชิวเดินทางบ่อยมากเราก็เลยทำประกันเดินทางรายปีของทางนี้เลย แล้วปีนี้ก็ได้ใช้จริงแล้วทริปนี้แหละ เดินทางมาพร้อมความกระเป๋าแตก! เครมกับทางทิพย์ฯ ได้เงินมา 4 พันกว่า คุ้มเกินค่าเบี้ยเลยแค่ครั้งเดียว เครมง่ายจ่ายจริงการันตีด้วยการเครมของตัวเองเด้อ
จุดเด่นของทิพยประกันภัย คือเบี้ยถูก และ “ไม่ต้องออกค่ารักษาพยาบาลก่อน” ตรงนี้มีน้อยเจ้าครับที่มีสิทธิ์ตรงนี้ให้ สมมุติว่าเราเจ็บป่วยเข้าโรงบาลในต่างประเทศเราก็แค่โทรมาแจ้ง Call center ว่าเรากำลังจะไปเข้าโรงบาลทางประกันจะประสานโรงพยาบาลให้เลยโดยเราไม่ต้องออกเงินไปก่อนแล้วค่อยกลับมาเบิกทีหลัง
เพียงเข้าผ่านลิงค์ https://bit.ly/2UTZLaQ
กรอกโปรโมชั่นโค้ด : ChillJourney ลดเพิ่มอีก 5% (จากราคาที่แสดงบน www.tipinsure.com)
เมื่อซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ ดังนี้
600-1,199 บาท รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 100 บาท
1,200-1,799 บาท รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 200 บาท
ตั้งแต่ 1,800 บาท ขึ้นไป รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 300 บาท
ระยะเวลาโปรโมชั่น : 1 – 31 ธค. 2562
DAY 1 : San Francisco – Highway No.1 – Livingston
หลังจากหลงไหลได้ปลื้มกับความเป็นเมืองขั้นสุดของ San Francisco กันเต็มอิ่ม ก่อนจะไปถึงอุทยาน Yosemite National Park ด้วยความรักพี่เสียดายน้อยเลยขับรถอ้อมไปสัมผัสถนน Highway หมายเลข 1 ที่ว่ากันว่าเป็นถนนเลาะชายฝั่งที่สวยที่สุดในอเมริกา และอาจจะติดท็อปถนนที่สวยสุดในโลก อะเค้าเคลมมายิ่งใหญ่ประมาณนั้น เส้นทางนี้สามารถขับได้จาก Sanfran. และไปจบที่ LA ได้เลย แต่นั่นอาจจะมากเกินไปสักหน่อย เพราะถนนหมายเลข 1 คือลงใต้ ส่วนทางที่จะไป Yosemite มันคือวิ่งไปทางตะวันออก
อะเราก็เลยขอขับเลาะไปสัก 1/4 ของเส้นทางสัก 120 KM ใช้เวลากรุบกริบ 2 ชั่วโมงให้พอได้บรรยากาศ ปักหมุดเป้าหมายไว้ที่ Panther Beach ระหว่างขับไปก็เพลินและสวยกับที่เค้าว่า ทางขึ้นลงตัดเลาะทะเล ไม่สิ ต้องเรียกว่ามหาสมุทร เพราะเลยจากนี้ก็คือ มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือแล้วอะ! มีดินแดนจริงจังอีกทีก็แถบญี่ปุ่นโน้นเลย
พักที่ไหนดี?
มาคั่นเวลาแนะนำกันสักหน่อย ถ้าเพื่อนๆลองกดดูจะเจอว่าที่พักใน Yosemite มันมีน้อยมาก และ แพงมากกกกกกกกกกกก แพงแบบเป็นหลักหมื่นต่อคืน! ดังนั้นคนทั่วไปก็จะมีแค่สองทางเลือกแหละ ว่าจะนอนข้างในสู้ราคาไป หรือ จะนอนข้างนอกแล้วยอมตื่นเช้าขับรถเข้าไป(ซึ่งไปกลับก็ 100 กิโลอยู่นะ)
- นอนข้างใน : ถ้าไม่นับโรงแรมแพงๆทั้งหลาย เราแนะนำนอนเต้นท์แบบเราชื่อ Curry village นะก็คูลดี จองได้ >> ที่นี่ <<<นะ อาจจะจองยากสักหน่อย โดยเฉพาะแบบ heated tent มันจะเต็มไวมากกกกกกก
- นอนข้างนอก : ได้แก่เมือง Livingston , Merced , Mariposa เมืองพวกนี้จะมีแบรนด์เชนทั้งหลายอยู่ก็เลือกเอาตามงบเลย ประมาณนี้นะยิ่งใกล้ยิ่งแพงว่างั้นเถอะ 55
หมายเหตุ : คืนแรกเรานอนที่ Motel 6 Livingston แนะนำมากที่นี่ เน็ตแรง ห้องใหม่ นอนสบาย ราคาดี / คืนสองนอน Curry village นะ
DAY 2 : Yosemite
เรามาถึงอุทยานกันช่วงบ่ายจุดหมายแรกที่ไปคือ Yosemite, Tunnel View มันคือจุดชมวิวที่ทุกคนทั่วโลกที่เคยเห็นภาพนั้นใฝ่ฝันจะมา เราเชื่อว่าคนที่กำลังอ่านรีวิวนี้อยู่ก็คงอยากมาเพราะมุมนี้แหละ มันเป็นมุมที่ลงตัวสุด มองเห็นครบทุกสิ่งอย่างแลนด์มาร์คในอุทยานในคราวเดียวกัน! ไม่ว่าจะเป็น El Capitan, Half Dome และ Bridalveil fall ครบจบในที่เดียว!
ลองถ่ายถนนมาให้ดู เห็นป่ะว่ามันมาง่ายมาก ทางขวาเป็นที่จอดรถ ทางซ้ายก็จะเป็นลานที่ทุกคนมาถ่ายรูปกัน
หลังนั่งเสพกันจนอิ่ม มองภูเขาถ่ายรูปหมดไปสิบล้านช็อต ก็ได้เวลา move on ไปเดิน Trail เข้าชมน้ำตก Bridalveil fall น้ำตกที่เห็นจากมุมตากี้นั่นแหละ ขับรถไปนิดเดียว นิดเดียวจริงๆก็ถึงจุดจอดรถ จากนั้นก็เดิน เดิน เดิน เข้าไปสัก 5 นาทีก็ถึง นี่เรียกว่า trail ได้เหรอเนี้ยใกล้ขนาดเนี้ย 555
อยู่น้ำตกแป๊ปเดียวอะ มันใกล้กว่าที่คิดเลยไปเช็คอินก่อนดีกว่า ขับรถต่อไปยังที่เต้นท์ที่เราจองไว้ Curry Village กระบวนการก็ไม่มีอะไรมากเหมือนเช็คอินปกติ เราได้กุญแจไขเข้าห้องมาพร้อมกับคำเตือนว่า! ห้ามทิ้งอาหารไว้ในรถและเต้นท์เด็ดขาด เพราะหมีมันจะมาทุบรถ! โอ้ย แค่เริ่มต้นก็มันแล้วแก คืนนี้คือไง หมีจะมาคุ้ยอาหารหน้าเต๊นท์งี้ป่ะ แล้วเต๊นท์จะไหวไหม 555
เดินงมกันสักพักก็เจอห้องเบอร์ 226 ของเรา พอเปิดประตูเข้าไป ผ่ามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
มันก็ตรงปกแหละ 555 เหมือนภาพที่อยู่ในเน็ตและเหมือนภาพที่อื่นรีวิวไว้ เต้นท์มาตรฐานนอนได้ 4 คน แต่เรามากันสองคนก็นอนกันสบายๆหน่อย วันนี้อากาศกำลังดีไม่ร้อนไม่หนาว ไม่ต้องใช้ฮีทเตอร์ บรรยากาศชิลล์มากอะ แบบเหมือนย้อนวัยมาเข้าแคมป์ลูกเสืองี้ ( โหหหห กี่มีมาแล้วตอบ! )
อันนี้ภายในนะประมาณนี้ ก็นอนสบายใช้ได้นะ
ผ่ามมมม และนี่คือตู้เก็บอาหาร ที่ทุกคนต้องทำตามกฎเอาอาหารทุกชนิดมาเก็บไว้ในตู้นี้เท่านั้น เออออ ถ้าหมีมาทุบเต้นท์เพราะเราเอาอาหารไว้ในเต้นท์เรามีความผิดโดนปรับด้วยนะ เออ
พอตอนเย็นเราก็ขับรถกลับไปที่ Tunnel View อีกรอบเพราะเราตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันอีกรอบ แน่นอนว่ามีคนมากมายก่ายกองมารอดูเหมือนเรา ณ จุดนี้เราเลือกที่จะไม่ได้ทำอะไรมาก ปล่อยกล้องทำงานของมันไปแล้วเรานั่งมองฉากในฝัน ค่อยๆเปลี่ยนสีไปทีละนิดทีละนิด เราจะสารภาพตามตรงว่าวิวตรงนี้ไม่ได้สวยระดับที่ทำให้ใจเราเต้นแรงหรอก แต่ที่เราอิ่ม มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่เราเคยเห็นภาพนี้ใน Macbook ของเพื่อน แล้วเคยสัญญากับตัวเองว่าวันหนึ่งเราจะมาดูด้วยตาตัวเองแล้วมันทำสำเร็จแล้ว แค่นี้มันก็อิ่มแล้วปะ?
DAY 3 : Yosemite – Bishop
อะเช้านี้เราตื่นมาเดินไปเปิดตู้อาหารหน้าห้อง เริ่มต้นวันอาหารเช้าแบบง่ายสุดคลาสสิค ขนมปัง+เนยถั่ว กับวิวภูเขาสูงรอบตัว สายตาเราก็มองไปเจอสัตว์!!
ที่ไม่ใช่หมีวิ่งเข้ามาทำร้ายฉกขนมปังไปแบบหนังสยองขวัญ แต่เป็นกระรอกน้อยมุ้งมิ้งเดินแบบระแวดระวังกลัวคนจะมาจับมามันไป 55
อาบน้ำแปรงฟันเก็บของเรียบร้อยก็ไปเช็คเอ้าท์! สัก 10 โมงโยนกระเป๋าทั้งหมดทิ้งไว้ในรถแล้วเดินไป Mirror lake อันนี้คืออีกหนึ่งมุมคลาสสิคที่คุ้นตาแบบใครมา Yosemite ก็ต้องไป เป็นข้อได้เปรียบของคนที่นอนที่ Curry Village ตรงมีที่จอดรถนี่แหละ ทางเดินไป Mirror lake นี่อยู่ติดกับลานจอดรถเลย ไม่ต้องไปจอดที่อื่นและนั่ง Shuttle bus เข้ามา ระยะเดิน Trail อยู่ที่ 1.6 กิโลต่อขา (ไปกลับก็ 3.2 KM )
จริงๆก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ เดินไปเรื่อยๆเพลินๆ ทำตัวคูลเป็นฝรั่งเมกันแบบเอะอะเดินป่าเดินเขา ไปเรื่อยเราก็มาถึงที่ Mirror lake ที่ตอนนี้ก็ยังงงงวยว่ามัน mirror ยังไงเหรอแกร! อาจจะเพราะเราไปช่วงปลายสค. เป็นช่วง summer อยู่มั้งน้ำเลยไม่เยอะพอให้เกิดเงาสะท้อน แต่บริเวณนี้ก็ดูดีน่าหอบข้าวมาปิคนิกนะ
เออเราต้องบอกก่อนว่า Yosemite เป็นอุทยานที่ใหญ่มากมี Trail ให้เดินเยอะมากกกกกกกกกกก เรียกว่าถ้าเป็นสายน้ำสายเขา สายเดินนี่อยู่ 7 วันก็เที่ยวไม่ครบอะพูดเลย แต่ถ้าเอาแบบสายแมส เที่ยวประมาณเราพอ 2 วัน 1 คืนก็ถือว่าครบแล้วล่ะ ได้มุมยอดฮิต ได้นอนเต้นท์ชิคๆ ได้เดินเทรลเบาๆพอสังเขป 555
เสร็จภารกิจพิชิตมุมฮิตทั้งสองมุม เราก็ได้เวลากระโดดขึ้นรถไปต่อ เราขับไปต่อวนขึ้นด้านบน เข้าทางออกอีกทางเรามุ่งหน้าสู่ Death valley ตรงโซนนี้บอกเลยว่าเป็น Road trip ในฝันมาก สองข้างทางสวยหมด สวยแบบสวยยยย ต้นสนต้นอะไรสวยจนอยากหยุดถ่ายรูปเรื่อยๆเลย จุดที่อยากแนะนำให้แวะมี 2 จุดนะ จุดแรกคือ Olmsted Point ตรงจุดนี้หลักๆเลยจะได้เห็น Half dome ในอีกทิศหนึ่ง บริเวณนั้นจะเป็นภูเขาหินหรือเอาจริงๆเรียกว่าเนินหินน่าจะถูกกว่า เพราะมันไม่สูง มีมุมให้ถ่ายรูปเก๋ๆอยู่พอตัว
เห็นตรงนั้นไหม Half dome
ขับไปอีกนิดหนึ่งเราก็เจอกับทะเลสาบสีฟ้าเข้ม น้ำทั้งนิ่งทั้งใส พร้อมภูเขาเป็นฉากหลัง อันนี้ไม่อยู่ในลิสต์ที่เคยเห็นในรีวิวคนไทยแต่บอกเลยต้องมา พิกัด Tenaya Lake มาง่ายมากก็อยู่ริมถนนนั้นแหละครับ โอ้โห มันสวยมากจริงที่นี่ ถ้าบอกว่า Yosemite มีมุมไหนที่ห้ามพลาดเราขอบอกเลยว่าที่ทะเลสาบแห่งนี้แหละ!
และนี่คือออออออ Tenaya Lake ดีแบบดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ถ้าใครมาช่วงที่ไม่หนาวไปแนะนำเอาชุดว่ายน้ำมาด้วยลงไปเล่นน้ำฟินมาก
และนี่ก็คือบันทึกการเดินทางที่ดูเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่มากของเรา จากภาพ ภาพเดียว ทำให้เกิดการเดินทางไกล 16 ชั่วโมงบนเครื่องบิน และขับรถ 2000 กว่าโล ใช้เวลาเกือบอาทิตย์จากจุดเริ่มต้นที่ Vancouver จนถึงที่นี่ ! เราจะขอบอกตามตรงว่า Yosemite อาจไม่ใช่อุทยานที่สวยที่สุดในโลก แต่มันเป็นอุทยานที่เราอยากมาที่สุดในโลก และวันนี้เราทำสำเร็จแล้ว และอยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับตาตัวเองเหมือนกันกับเรา