. ถ้าสวิสเซอร์แลนด์คือแดนในฝัน หมู่บ้านเล็กๆนาม Zermatt (แซร์มัทท์ ) ก็คือเมืองสุดยอดที่ผมหวังไว้ ผมเคยดูภาพภูเขาสามเหลียมนี่แล้วบอกตัวเองว่าผมจะต้องมาเมืองนี้เพื่อมามอง Matterhorn ใกล้ๆให้ได้และแล้ววันนี้ความฝันผมก็เป็นจริง
. พอถึงสถานีแล้วเดินขึ้นเขาไปเก็บกระเป๋าที่พัก เราพักที่ Youth hostel Zermatt ที่พักที่น่าจะถูกที่สุดในเมืองตากอากาศค่าครองชีพแพงมหาโหดอย่างนี้ โรงแรมอยู่สูงและไกลจากเมืองตามประสา Youth hostel ผมค่อยๆพยุงร่างไป ทีละนิดทีละนิด ผมท้อจนอยากปากระเป๋าทิ้งหลายครั้งหลายครา การแบกกระเป๋าหนักสิบกว่ากิโลกับข้อเท้าที่แม้แต่จะก้าวยังเจ็บมันเป็นอะไรที่ทรมาณจริงๆ
. ระหว่างทางเดินไปโฮสเทลนั้น พวกเราผ่านแม่น้ำที่ตัดผ่านกลางหมู่บ้าน “Love at first sight” คำนี้คงไม่มากเกินไปเมื่อผมได้เจอเธอตรงจุดชมวิวกลางหมู่บ้านแห่งนี้ เธอคนนั้นคือยอดเขา Matterhorn นางในฝันของผมนี่เอง เธอออกมาทักทายให้กำลังใจผมได้ก้าวเดินต่อ
ในที่สุดผมก็พาร่างมาถึง Youth hostel Zermatt จนได้ที่นี่อยู่ไกลใจกลางเมืองซะจริง เมื่อมาถึงแล้วยังเช็คอินไม่ได้อีกเพราะเปิด 4 โมง ผมทิ้งตัวลงพักขา พักหลังที่โซฟาไม่ทำอะไรเลย 15 นาที
ร่างกายได้หายเหนื่อยแล้วเราทิ้งกระเป๋าไว้ที่โฮสเทลและเดินกลับไปยัง สถานีรถไฟ Zermatt ซึ่งตรงข้ามจะเป็นสถานีรถไฟไต่เขา Gornergrat Bahn สวิสพาสใช้เป็นบัตรเบ่งขึ้นฟรีไม่ได้ แต่สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ครึ่งราคาโดยจ่ายราคาไปกลับ CHF34.50 ยอดเขา Matterhorn นั้นสามารถขึ้นได้หลายทางแต่หนึ่งในเส้นทางยอดฮิตคือ Gornorgrat เราก็เลือกเส้นทางนี้ swiss pass ใช้ลดราคาพาสได้ 50% (เราซื้อมาจากไทยเลยในราคาซื้อพร้อมสวิสพาสเหลือ 30 ยูโร)
รถไฟไต่เขาบ่ายวันนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่เตรียมตัวมาเล่นสกี และมีส่วนน้อยเป็นนักท่องเที่ยว รถไฟสายนี้จะจอดทั้งหมด 4 สถานีด้วยกัน คือ Riffelalp, Riffelberg, Rotenboden/Riffelsee และ Gornergrat ซึ่งแต่ละสถานีจะมีนักเล่นสกีขึ้นและลงเยอะแยะไปหมด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่
ตลอดระยะเวลานั่งรถไฟไต่เขาขึ้นไป 45 นาทีนั้น วิวสวยขึ้นทีละนิด ละนิด พวกเราลดหน้าต่างลง ลมหนาวเข้าปะทะใบหน้าแต่เราไม่ได้แคร์นัก หยิบกล้องมารัวชัตเตอร์กันไม่ยั้ง หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความสุขคล้ายเด็กได้ไปสวนสนุก ตลอดทางได้เห็นภูเขาหลากหลายลูกรวมถึง Matterhorn สวยเด่นเป็นสง่าตลอดทาง
. ในที่สุดก็มาถึงสถานี Gornergrat ได้เห็น Matterhorn ใกล้แค่เอื้อมจริงๆพอเดินออกจากสถานีรถไฟ ก็จะเห็นประตูรั้วกั้นไว้ต้องเอาตั๋วรถไฟที่เป็นสกีพาสนั่น เสียบเข้าไปในช่องที่คล้ายกับการเสียบบัตรรถไฟฟ้าบ้านเรา ความรู้สึกแรกที่ได้ออกไปสัมผัสลานสกีกว้างที่มีหิมะขาวปกคลุมยาวต่อเนื่องไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว เหมือนกับได้มาอยู่อีกโลกหนึ่ง ช่างสวยเหลือเกิน
ยอดเขา Matterhorn นั้นถูกตั้งชื่อว่าเป็น “จอมขี้อาย” มักจะมีปุยเมฆเคลื่อนผ่านมาบังเธอไว้เสมอ ดังนั้นโอกาสที่มาแล้วจะไม่เห็นเต็มๆยอดมีเยอะ มีคนเตือนไว้ว่าก่อนมานี้ไม่ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าให้มาดูหน้างานก่อน แต่ผมซื้อมาจากไทยเลยเป็นการวัดดวง ถึงแม้จะไม่เห็นอะไรนักผมก็คงขึ้นมาอยู่ดีอุส่าห์มาไกลขนาดนี้ได้เห็นเธอสักนิดก็ยังดี แต่วันนี้เธอไม่ทำให้ผมผิดหวัง ฟ้าใสอากาศไหลเย็น ผมได้เห็นเธอชัดๆภาพแบบ Hi-def ไม่มีเมฆหมอกขวางกั้นแม้แต่น้อย เธอปรากฎโฉมแสดงให้เห็นสูงตระหง่านและทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างโดดเด่น
ยอดเขา Matterhorn ลูกนี้ยังถือเป็นมงกุฎแห่งสวิตเซอร์แลนด์และถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ แม้กระทั่งช็อคโกแลตชื่อดังอย่าง Toblerone และบริษัทสร้างหนังฮอลลีวู้ดแห่งหนึ่ง ก็ยังนำไปเป็นโลโก้ของสินค้าและบริษัท
จากจุดชมวิวหน้าสถานีราว 300 เมตร สามารถเดินลุยหิมะต่อไปยังหอวิจัยสภาพอากาศได้ ด้านบนเป็นลานกว้างที่ใช้เป็นจุดชมวิวที่สูงขึ้น ได้เห็นวิวแบบพาโนรามา 360 องศา ผมจะไม่พลาดซ้ำสองผมทุกย่างก้าวผมค่อยๆลงน้ำหนักทีละน้อยจนเดินไปถึงด้านบนได้อย่างปลอดภัย
บนจุดชมวิว 360 องศา เป็นลานไม่กว้างนักขนาดใกล้เคียงกับลานจอเฮลิคอปเตอร์ ทางด้านขวามีแผนภาพไว้ให้ดูว่าเขาลูกไหนชื่ออะไร มองในป้ายสูงสุดซ้ายมือนั่นล่ะ Matterhorn
เราถ่ายรูปอยู่แถวสถานี Gornergrat 4 ชั่วโมงรวด เดินวนไปวนมา หามุมโน้นมุมนี้ ขณะนี้แดดเริ่มจางลงเราลุ้นให้พระอาทิตย์ตกก่อนรถไฟขบวนสุดท้ายกลับสู่หมู่บ้าน Zermatt จะเคลื่อนขบวน
ผม : “มึงๆ ดูรอบรถไฟดี้ รถไฟเที่ยวสุดท้ายเมื่อไหรวะ”
ริน : “สองทุ่มเจ็ดนาที”
ผม “มึงว่าจะทันพระอาทิตย์ตกป่ะวะ”
ริน “น่าจะทันหว่ะ ต้องลุ้น” รินตอบ แล้วเราก็ยืนรอพระอาทิตย์ตกกัน
ริน : “เฮ้ยจะสองทุ่มแล้ว มึงถ่ายช็อตนี้ไปเลยนะ” พระอาทิตย์เพิ่งตกลงไปแต่รถไฟขบวนสุดท้ายกำลังจะออกในอีก 10 นาที
ผม : “เออๆๆแป๊ปหนึ่งใกล้ได้แล้ว”
แชะ แชะ แชะ “มึงๆๆๆๆ กดลิฟท์ด่วน” พวกเราลงลิฟท์แล้วก็วิ่งไปขึ้นขึ้นรถไฟรอบสุดท้าย ทั้งขบวนมีแค่ 3 คน !
วันนี้เราถ่ายรูป Matterhorn อยู่ด้านบนนี้นับดูถึง 4 ชั่วโมงตั้งแต่แสงจ้า จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและวิ่งไปขึ้นรถไฟรอบสุดท้าย 20.07 ชีวิตช่างน่าตื่นเต้นซะจริง
ความตั้งใจเดิมวันนี้ผมจะพักไม่ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะร่างกายให้สัญญาณมาว่าไม่ไหวแล้ว นาฬิกาปลุกดังขึ้นตอน 7 โมงเช้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมลุกขึ้นมาและเดินไปยังหน้าต่างห้องพัก ภาพที่ผมเห็นคือ แสงแรกของวันกำลังฉาบเฉพาะส่วนบนของยอดเขา Matterhorn ซ้ายมือเป็นพระจันทร์ดวงโต โมเม้นที่ผมใฝ่ฝันและลงทุนมานอนถึงเมืองนี้ มันสวยเกินกว่าจะขี้เกียจและกลับไปนอนต่อจริงๆ
ผมหยิบกล้องเดินไปหน้าโฮสเทล ด้วยเสื้อบางๆ กางเกงบอล รองเท้าแตะผมกะว่าจะถ่ายภาพแล้วไปนอนต่อ แต่วิวหน้าโฮสเทลมันไม่โดนใจเพราะดันมีต้นสนมาบัง จุดชมวิวสวยอยู่ริมแม่น้ำตรงกลางเมืองที่ต้องเดินลงเขาไปกว่าสิบนาที ผมตัดสินใจไปในทันที
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้วผมรอช้าไม่ได้ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังริมแม่น้ำที่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นของเมือง แสงแรกของวันค่อยๆสาดเข้าใส่ Matterhorn จนเป็นสีส้มทองทั้งลูก สวยมากๆ สวยจนไม่อาจมีคำบรรยายใดๆ อากาศตอนนั้นประมาณ 0 องศาในขณะที่เสื้อผ้าผมมีแค่เสื้อยืด กางเกงบอล รองเท้าเตะ ด้วยความตื่นเต้น ผมกลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่นิดเดียว มันสวยจนผมได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วขณะ
กินอาหารเช้าจนพุงกาง เราเช็คเอ้าท์แบกกระเป๋าเดินไปจองรถไฟไปต่อยังเมือง Milan ประเทศอิตาลีล่วงหน้าก่อนเวลา วันนี้เราจะต้องโบกมือลาสวิตเซอร์แลนด์และข้ามประเทศไปยังอิตาลีกันแล้ว ค่าเสียหายรถไฟจากเมือง Zermatt ไปถึงเมืองหลวงของอิตาลีเมืองแฟชั่นระดับโลก Milano คนละ 83 CHF ไม่มีส่วนลดใดๆทั้งสิ้นเพราะ Swiss pass 4 วันได้หมดลงไปตั้งแต่เมื่อวาน ลองตีกลับเป็นเงินไทยก็สัก 3 พันบาท สำหรับเราถือว่าแพงมากๆแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ต้องจ่ายสถานเดียว
เสร็จสิ้นภารกิจจองรถไฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือบมองนาฬิกายังเหลือเวลาใช้ชีวิตกับเมืองนี้อีก 3 ชม. Zermatt นั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่อากาศปลอดมลพิษด้วยวิธีการห้ามรถน้ำมันเข้ามาวิ่งทำลายอากาศบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด ในเมืองจึงมีเพียงรถไฟฟ้าราคาโหดให้บริการ
แพลนเดิมเราจะเดินสำรวจเมืองที่เหลือ แต่ข้อเท้าผมเริ่มโอดครวญว่าไม่ไหวแล้วเอ็งช่วยไปนั่งพักสักที ผมจึงตัดสินใจกลับไปนั่งพักตรงริมแม่น้ำใกล้จุดชมวิวตอนเช้าไม่เดินสำรวจเมืองอีกแล้ว ผมเลือกจะนอนเก้าอี้ชมวิว Matterhorn ใช้ชีวิตแบบ Slowlife การนอนริมแม่น้ำ มอง Matterhorn นางในฝันแค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับชีวิต
ระหว่างที่ผมกำลังนอนชมวิวมีกรุ๊ปทัวร์คนไทยเดินตามไกด์ ผ่านหน้าเราไปกลุ่มนั้นมองพวกเราตาละห้อย ผมเดาว่าเค้าคงอิจฉาเราไม่น้อยที่ได้ใช้เวลาแบบช้าๆกับเมืองสบายๆแบบนี้ ผมใช้เวลาอยู่ตรงนั้นถึง 2 ชั่วโมงแต่เป็น 2 ชั่วโมงที่ไม่มีวินาทีไหนเบื่อเลยจริง วิวด้านหน้าสวยเกินคำบรรยาย และที่ฟินไปกว่านั้นแถวที่นั่งยังมีฟรีไวไฟให้เล่นซะด้วย
เป็นอันจบรีวิว Zermatt และประเทศสวิสเซอร์แลนด์โดยสมบูรณ์เรากำลังวิ่งเข้าสู่อิตาลีอีก 10 วันที่เหลือครับ